อาหารการกินในอินเดีย
อินเดีย เป็นประเทศที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรมอาหาร มีจุดเด่นเรื่องการใช้เครื่องเทศ ซึ่งมีประวัติมายาวนานกว่า 7,000 ปี เครื่องเทศเหล่านี้รู้จักกันดีในนาม มาซาล่า (Masala) เป็นเครื่องแกงชนิดแห้ง ใช้ในการประกอบอาหารหลายชนิดหรือแม้กระทั้งนำมาโรยข้าวรับประทาน ข้าวของชาวอินเดียจะมีลักษณะเรียวยาวกว่าปกติเรียกว่า ข้าวบัสมาตี (Basmati) มีรสชาติดี แต่ราคาค่อนข้างสูง ตามร้านอาหารจึงเห็นข้าวเหมือนที่รับประทานกันในประเทศไทย ส่วนใหญ่ชาวอินเดียนิยมทานแผ่นแป้งสุกที่มีทั้งแบบปิ้ง แบบนาบกระทะ และแบบทอด จำพวก โรตี (Roti) จาปาตี (Chapati) พารัตทา (Paratha) นาน (Nan) และปาปัด (Papad) สำหรับปาปัดนั้นจะถูกปากคนไทยเป็นพิเศษ เพราะกรอบเหมือนข้าวเกรียบทานง่ายไม่ต้องมีเครื่องจิ้มทานกับชา กาแฟ ก็อร่อย
นาน (Nan)
อาหารประเภทแผ่นแป้งเหล่านี้ จะรับประทานกับเครื่องจิ้มนานาชนิด ที่นิยมมากคือแกงถั่ว (Dal) มีให้เลือกมากมายหลายรสชาติ และเนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่นิยมทานมังสวิรัติ (vegetarian) อาหารจึงต้องมีโปรตีนจากถั่ว หรือนม อาหารที่ใช้เต้าหู้จากถั่วเหลืองมีน้อยมาก แต่จะมีเต้าหู้อีกชนิดหนึ่งทำจากนมวัว เรียกว่า ปะนีร์ (Paneer) มีสีขาว จัดอยู่ในอาหารประเภทชีส แต่กลิ่นไม่แรง นิยมใส่ในแกงถั่ว
อนึ่ง อาหารของชาวอินเดียมีข้อแตกต่างระหว่างพื้นที่ โดยชาวเหนือนิยมใช้ เนยใส (Ghee) ในการทำอาหาร สีสันที่แดงจัดจ้านมาจากมะเขือเทศมากกว่าพริก รสชาติของอาหารเหนือจึงไม่เผ็ดร้อนมากนัก แต่จะหอมเครื่องเทศ ชาวเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบแคชเมียร์จะนิยมใช้ แซฟฟรอน (Saffron) ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่มีราคาสูงในการประกอบอาหาร ในขณะที่ชาวใต้นิยมใช้กะทิ และพริกในการปรุงอาหาร อาหารชาวใต้จึงค่อนข้างเผ็ด อย่างไรก็ตาม ชาวอินเดียนิยมทานเผ็ดกันอยู่แล้ว เห็นได้จากร้านพิซซ่าชื่อดังอย่าง พิซซ่าฮัทนำเสนอเมนูพิซซ่าหน้าพริกขี้หนูอินเดียล้วนๆ มาให้รับประทานกัน
นอกจากอาหารมังสวิรัติแล้ว อาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็มีให้รับประทาน อย่างเนื้อไก่และเนื้อแพะ (Mutton) สามารถหารับประทานได้ง่ายเพราะไม่ผิดหลักศาสนาใดๆ ขณะที่เนื้อวัวอันเป็นข้อห้ามของชาวฮินดู แทบจะหาทานไม่ได้เลยนอกจากร้านอาหารฝรั่ง เช่น Twenty Feet High (Bangalore; Church Street) และโรงแรมชั้นดี ส่วนเนื้อหมูอันเป็นข้อห้ามของชาวมุสลิมพอหาทานได้บ้าง โดยเฉพาะตามร้านอาหารจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งมีอยู่ในตัวเมืองใหญ่ๆทั่วไป
สำหรับอาหารซีฟู๊ดหาทานได้ไม่ยากตามเมืองที่ติดทะเล เช่น โกอา (Goa), มุมไบ (Mumbai), ปูเน่ (Pune) และอูดูปิ (Udupi) เป็นต้น เมืองชั้นในอย่างบังกาลอร์ (Bangalore) พอหาซีฟู๊ดทานได้บ้าง แต่หากซื้อไปทำเองจะสะดวกกว่าเสาะหาร้านอาหารซีฟู๊ด เนื่องจากมีอยู่ไม่มากนัก ร้านอาหารทะเลที่อยากแนะนำ หากอยู่ในเขตบังกาลอร์คือ The Mangalore Perl (Frazer Town) ซึ่งมีรสชาติดี ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา สารพัด ที่เด่นที่สุดคือแกงฉลามมาซาล่า อาหารทะเลสดแช่แข็งมีขายตามซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป เช่น Fab Mall, Food World, Spensor และ Nilgiris ซึ่งมีให้เลือกหลายระดับราคา รวมทั้งใน Spensor M.G.Road เองยังมีแผงปลาทะเลขนาดจัมโบ้ให้เลือกซื้อสดๆ แต่ราคามักจะสูง หากเป็นแผงลอยทั่วไปตามตลาด หรือรถเข็นมักจะเป็นปลาน้ำจืดมีเกล็ดมาก ส่วนเนื้อสัตว์อื่นๆ หาซื้อไม่ยาก ยกเว้นเนื้อวัว ต้องหาซื้อในชุมชนอิสลาม ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วไป สำหรับเนื้อหมูจะมีขายตามเขียงหมูในตัวเมือง และตลาด ส่วนในห้างสรรพสินค้า สามารถหาซื้อไส้กรอกหมูง่ายกว่าเนื้อหมูสด
สำหรับคนไทยที่คาดว่าจะไปศึกษา ณ เมืองใหญ่ อาทิ บังกาลอร์ และยังติดการรับประทานของไทยๆ อาทิ น้ำพริก น้ำปลา น้ำมันหอย รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็สามารถหาซื้อได้ใน Fab Mall สาขา Forum Mall และ Nilgiris เป็นต้น ราคาอาจสูงหน่อย เพราะต้องนำเข้า ส่วนพืชผักมีให้เลือกจุใจแถมปลอดสารพิษ และราคาถูก ที่น่าแปลกใจคือ คนที่นี่ไม่ทานใบกะเพรา แต่จะใช้สำหรับบูชาเทพเจ้า หาซื้อได้ตามแผงขายพวงมาลัย (Garland) ลักษณะใบค่อนข้างเล็ก ร้อยมาเป็นวง เรียก ตูรูซิ หรือ Holy Leaf สำหรับผู้ที่ไม่ติดความเป็นไทยมากนัก อยากแนะนำให้ลิ้มลองรสชาติของอินเดีย อาหารจานเด่นของที่นี่มีทั้ง ไก่ทันดูรี (Tandoori Chicken) เป็นไก่ที่หมักในเครื่องเทศแล้วนำไปอบในเตาดิน ข้าวหมก (Biryani) มีทั้งหมกแพะและไก่ ส่วนที่โด่งดังในหมู่ชาวไทยเห็นจะเป็นไก่กะบ๊าบ (Chick Kebab) ซึ่งก็คือไก่ทอดนั่นเอง
ไก่ทันดูรี (Tandoori Chicken)
นอกจากนี้ยังมี โดซ่า (Doza) เป็นแผ่นแป้งยัดไส้ต่างๆ แล้วนำไปทอด อีกเมนูคือ อิฎลี (Idli) หน้าตาคล้ายซาลาเปา แต่เนื้อเหมือนขนมตาล รสจืด หรือหวาน แล้วแต่ส่วนผสม ซึ่งทั้งสองเป็นอาหารใต้ที่โด่งดังไปทั่วอินเดีย หากยังไม่ถูกปากต้องลอง แกงเขียวหวานไก่ไร้มะเขือ หรือ Chicken Kadai ร้านอาหารอินเดียเกือบทุกร้านจะมีเมนูหมี่ผัดแบบจีนสไตล์ต่างๆ ที่นิยมคือสไตล์แมนจูเลียรสชาติออกเผ็ดๆ ส่วนร้านอาหารสากลอย่าง Pizza Hut, KFC, McDonald's, Subway, Coffee World, Barista, Baskin Robbin, Rail Road และอื่นๆ ก็มีให้เลือกรับประทาน มีข้อสังเกตเพิ่มเติมคือ ร้านอาหารที่นี่มักลงท้ายด้วยคำว่า Hotel จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมโรงแรมที่นี่ไม่มีห้องพัก มีแต่อาหารขายอย่างเดียว
ในความเป็นจริงอาหารอินเดีย ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายๆคนคิด ปัญหาที่ทานอาหารอินเดียไม่ได้ส่วนใหญ่ เกิดจากการไม่คุ้นกลิ่นเครื่องเทศ แต่ใช่ว่าอาหารทุกอย่างของอินเดียจะใส่เครื่องเทศหนักๆ และสไตล์การทำของแต่ละร้านก็ไม่เหมือนกัน เพียงแต่นิสัยเด็กไทยที่ไปอยู่เมืองนอก หากเข้าร้านไหนก็มักเข้าร้านนั้นเป็นประจำ ไม่ค่อยเปลี่ยน หรือหาทางเลือกใหม่ๆ อีกประการที่สำคัญที่สุด คือ สั่งไม่เป็น จึงไม่กล้าสั่ง เมนูที่ทานจึงซ้ำๆ เมนูยอดฮิตสำหรับเด็กไทยเลย คือ Chicken Fried Rice และ Chicken Kebab ซึ่งน่าจะเป็นวัฒนธรรมการสั่งอาหารอินเดียของเด็กไทยไปแล้ว อยากให้ลองหันมาสั่งอย่างอื่นบ้างเช่น Lamb’s Leg Tandoori ใส่ปราปริก้าเยอะๆ, แป้งทอดสอดไส้ อย่าง Egg Paratha, Chicken Kadai กับ Paratha หรือพวกไก่ย่าง Chicken Tikka ทานกับ Nan อบเนยกระเทียมร้อนๆ สำหรับคุณผู้หญิงที่ห่วงใยสุขภาพ ไม่แนะนำให้ทานอาหารจำพวก Butter เช่น Butter Chicken ซึ่งเป็นไก่หมักเนยแล้วนำมาทำแกง ควรลองหันไปหาพวก Spinach Paneer หรือเต้าหู้ชีสในซอสผักโขม ทานคู่กับ Chapati หรือ Corn Chapati หากชอบทานข้าวมากกว่าแผ่นแป้งต่างๆ ลองชิม Jeera Rice หรือข้าวหุงยี่หร่า รับรองหอมถูกใจครับ ดีกว่าที่เราจะต้องไปแสวงหาร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี หรือฝรั่งทานเพราะราคาสูง สำหรับนักศึกษาคงทานกันไม่ได้ทุกมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นคุณจะไม่รู้จักคำว่าปรับตัว และซึมซับ
คำว่า ลองเพื่อรู้ ช่วยให้ชีวิตมีความสุขขึ้น (กับการทานอาหารอินเดีย) เช่นรู้ว่าอาหารที่ลงท้ายด้วยคำว่า ถาลี (Thali) หมายถึงอาหารที่ใส่เป็นถาดมา และมีเครื่องจิ้มหลายอย่าง ซึ่งไม่ถูกปากเพราะมีแต่ข้าว แป้ง และน้ำจิ้ม หรือแกงอัณฑะ (Anda Curry) ซึ่งก็คือแกงใส่ไข่ที่เป็นลูกๆ เพราะคำว่าอัณฑะในภาษาฮินดีหมายถึงอะไรที่เป็นรูปกลมๆ แต่สุดท้ายการได้เดินตลาดซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นมาทำอาหารไทยเองดู น่าจะถูกปาก และประหยัดที่สุด ทั้งยังได้เรียนรู้ชาวอินเดีย และประสบการณ์การเป็นเด็กนักเรียนนอกจริงๆ
ถาลี (Thali)
สุดท้ายสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความสะอาด ขอเรียนว่า ปัจจุบันร้านอาหารของอินเดียส่วนใหญ่สะอาด และรสชาติดี แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ฉะนั้นผู้รับประทานเองต้องรู้จักคัดเลือกร้าน และรักษาอนามัยก่อนรับประทานอาหาร ด้านน้ำดื่มควรหาน้ำบรรจุขวด หากเป็นน้ำดื่มที่บริการฟรีตามร้านอาหารก็สามารถดื่มได้ เพราะแทบทุกร้านจะมีเครื่องกรองน้ำ บางแห่งต้มน้ำก่อนให้บริการลูกค้า ยกเว้นบางร้านที่อยู่นอกเขตตัวเมืองพึงควรระวัง สำหรับน้ำแข็งยังหาทานลำบากหากไม่ใช่ร้านอาหารใหญ่ๆ
ข้อมูลจาก: https://www.pieindiastudy.com/Pages/About_India_Food.html
https://indianfoodsguide.blogspot.com/2011/07/somthing-about-indian-food.html