ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับอินเดีย

ข้อมูลเที่ยวอินเดีย (India Guide Book)

ข้อมูลเที่ยวอินเดีย

ข้อมูลทั่วไปแต่ละประเทศ อินเดีย (India Information)
อินเดียเป็นประเทศที่เก่าแก่ยาวนาน ดังนั้น สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในปัจจุบัน จึงเป็นการผสมผสานระหว่างของเก่าและใหม่ อินเดียเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู พุทธ และมุสลิม หลังจากได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947 อินเดียได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้โครงสร้างสาธารณรัฐ ปัจจุบันอินเดียมี 28 รัฐ และดินแดนกึ่งรัฐ 7 แห่ง ภาษาฮินดี และภาษาอังกฤษใช้กันแพร่หลายทั่วไปในอินเดีย ปัจจุบันอินเดียมีประชากรกว่าพันล้านคน โดยอาศัยในกรุงนิวเดลีประมาณกว่า 10 ล้านคน

ทัลมาฮาล อินเดีย อินเดีย

ธงชาติ อินเดีย (India Flag)

ธงชาติ India

ภูมิศาสตร์ ประเทศ อินเดีย (India Location)
ที่ตั้ง อินเดีย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้และ ตะวันออกเฉียงใต้ติดกับมหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับพม่า ทิศตะวันออกติดกับบังกลาเทศ
ทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน
ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน
ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่า
ทางตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย
ทางตะวันออกติดบังกลาเทศ


สภาพภูมิอากาศ และฤดูกาลประเทศ อินเดีย (India Weather)
สภาพภูมิอากาศ และฤดูกาลประเทศ อินเดีย มี 3 ฤดูกาล มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากมีพื้นที่กว้างใหญ่ ตอนเหนืออยู่ในเขตหนาว ขณะที่ตอนใต้อยู่ในเขตร้อน ทางเหนือมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน คือ แม่น้ำสินธุและคงคา จึงอุดมสมบูรณ์กว่าตอนใต้ ซึ่งมีแต่แม่น้ำสายสั้นๆ อุณหภูมิเฉลี่ยในที่ราบช่วงฤดูร้อน ประมาณ ๓๕ องศาเซลเซียส และฤดูหนาว ประมาณ ๑๐ องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน : เมษายน- มิถุนายน อุณหภูมิสูงสุด ประมาณ 45 องศาเซลเซียส บริเวณกรุงนิวเดลี และเมืองใกล้เคียงจะมีฝุ่น จากทะเลทราย ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบหายใจ 
ฤดูมรสุม : กรกฎาคม - ตุลาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 33 องศาเซลเซียส 
ฤดูหนาว : พฤศจิกายน - มีนาคม อุณหภูมิ 21 -30 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 7 องศาเซลเซียส


แผนที่ประเทศ อินเดีย (India Map)

ประเทอินเดีย

พื้นที่ประเทศ อินเดีย: 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ ๗ ของโลก
เมืองหลวงประเทศ อินเดีย:กรุงนิวเดลี (New Delhi)


ศาสนาใน อินเดีย (India Religion)

อินเดีย

ศาสนาฮินดู ร้อยละ 81.3
ศาสนามุสลิม ร้อยละ 12 
ศาสนาคริสต์ ร้อยละ 2.3 
ศาสนาซิกข์ ร้อยละ 1.9 
ศาสนาอื่น ๆ (พุทธและเชน) ร้อยละ 2.5


ประชากรประเทศ อินเดีย
อินเดีย มีจำนวนประชากร ประมาณ 1.21 พันล้านคน (มากเป็นอันดับ ๒ ของโลก : สถิติปี 2554)


ระบอบการปกครอง ของ อินเดีย
สาธารณรัฐ (Federal Republic) อำนาจการปกครองแบ่งเป็น ๒๘ รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก ๗ เขต แยกศาสนาออกจากการเมือง (secular state) โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นางประติภา ปาทิล (Pratibha Patil) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐ และนายมานโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เป็นสมัยที่ ๒)


ประวัติศาสตร์อินเดีย โดยสังเขป (India History)
ลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นแหล่งอารยธรรมแรกของอินเดียที่รุ่งเรืองเมื่อประมาณ 2,600 ปีถึง 1,900 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาเมื่อประมาณ 2,000 ถึง 15,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยันจากเอเชียกลางอพยพ เข้ามาในอินเดีย และพบกับอารยธรรมสินธุ ทั้งสองอารยธรรมได้ผสมผสานรวมกันเป็นอารยธรรมพระเวท โดยหลักฐานที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมนี้คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสันสกฤต และเป็นรากฐานของศาสนาฮินดู ระบบกฎหมายและการปกครอง ตลอดจน ขนบธรรมมเนียมประเพณีของ ชาวอินเดีย อันเป็นที่มาของชื่อยุคพระเวทคัมภีร์ฤคเวทเป็นพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาจึง มีคัมภีร์ยชุรเวท สามเวท อาถรรพเวท และมหากาพย์ทั้งหลายซึ่ง ได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งถือกำเนิดในช่วงประมาณพุทธกาลตอนปลายสมัยพระเวท ชาวอารยันในอินเดียอยู่กันเป็นเผ่า เลี้่ยงสัตว์เร่ร่อน แต่ต่อมาเริ่มรู้จักเพาะปลูก ตั้งรกราก มีการค้าขายทำให้บางเผ่ารวบรวมตั้งตนเป็นอาณาจักรใหญ่ได้ และเริ่มมีระบบวรรณะชัดเจนต่อมา อารยธรรมอิสลามได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยพ่อค้ามุสลิมจากตะวันออกกลาง และจักรวรรดิอาหรับได้ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นซินด์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล (คริสต์ศตวรรษที่ 16-18) เป็นสมัยที่มีการแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการปกครอง ภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ดี ในสมัยของพระเจ้า Aurangzeb ซึ่งเป็นผู้เคร่งศาสนาอิสลาม ได้ออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิม และเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิ เมื่อสิ้นอำนาจของพระเจ้า Aurangzeb จักรวรรดิโมกุลก็ค่อยๆ แตกแยกและเสื่อมลง เป็นโอกาสให้อังกฤษเข้ามามีอำนาจแทนที่อังกฤษเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในอนุทวีปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเข้าไป การค้าขายพร้อมๆ กับการเข้าไปครอบครองดินแดนและแทรกแซงการเมืองท้องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้ การปกครองของอังกฤษ ในปี 2420 โดยมีสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จ พระเจ้าจักรพรรดินีแห่งอินเดีย หลังจากการรณรงค์ต่อสู้กับการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน ภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี และเยาวหราล เนห์รู อินเดียจึงได้รับเอกราชและร่วมเป็นสมาชิกอยู่ภายใต้เครือจักรภพเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๙๐ โดยยังมีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นประมุข และทรงแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 2493 ได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และนายเยาวหราล เนห์รู ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย


วิถีชีวิตคน อินเดีย (India Culture)
วิถีชีวิตคนอินเดีย  ประชากรอินเดียนับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ 82.41 อิสลามร้อยละ 11.67 ที่เหลือนับถือศาสนาอื่น ทั้งนี้เป็นการนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 0.77
วิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลความเชื่อความศรัทธาจากศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ และประชากรที่มิได้นับถือศาสนาฮินดู ก็มีวิถีชีวิตภายใต้ศรัทธาของตนอย่างเคร่งครัด คนอินเดียค่อนข้างคบหาคนต่างชาติด้วยความระมัดระวังและมีความเป็นชาตินิยมสูง ปัจจุบันอินเดียมีประชากรมาก คนอินเดียจึงเป็นคนที่มีความพยายามสูง มีความอดทน ฉลาดในการต่อรองช่ำชองในธุรกิจการค้าขายการติดต่อราชการกับอินเดีย  สถานที่ราชการโดยทั่วไปเปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เริ่ม 10.00 จนถึง 17.00 น. เวลาพักอาหารกลางวัน ระหว่าง 13.00 - 14.00 น. การติดต่อราชการกับอินเดีย ผู้ติดต่อต้องเผื่อเวลาไว้ให้มาก และต้องเตรียมเอกสารและสำเนาให้พร้อม อินเดียยังมีวันหยุดราชการเนื่องในวันสำคัญทางศาสนามาก ข้าราชการอินเดียให้ความสำคัญอำนาจหน้าที่ของตนเองสูง และมักมีอำนาจในการใช้ดุลยพินิจอย่างกว้างขวาง การติดต่อราชการอินเดียต้องติดตามเรื่องทุกระยะและผู้ติดต่อต้องรับผิดชอบเรื่องของตนเอง หากล่าช้าผิดปกติต้องรีบติดต่อขอพบเจ้าหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ควรหลีกเลี่ยงการติดต่อกับบุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ แต่อาสาช่วยเหลือเพราะอาจจะถูกหลอกได้ง่าย


หน่วยงานที่ควรทราบในอินเดีย
ผู้ที่เดินทางไปอินเดีย โดยเฉพาะกรุงนิวเดลี ควรจะทราบที่ตั้งของหน่วยงานที่ควบคุมดูแลคนต่างชาติเพราะต้องไปติดต่อรายงานตัว ขอใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่ขอต่ออายุการตรวจลงตรา ฯลฯ

สำนักงานทะเบียนคนต่างด้าว
(Foreigner's Regional Registration Office (FRRO))
HANS BHAVAN, TILAKMARG (I.T.O.)
NEW DELHI
เวลาทำการ 09.30 - 16.00 น.

กระทรวงมหาดไทย แผนกคนต่างด้าว
(Foreigners Division, Ministry of Home Affairs)
LOK NAYAK BHAVAN, KHAN MARKER,
NEW DELHI
เวลาทำการ 09.30 - 12.00 น.

หากท่านจะอยู่อาศัยในประเทศอินเดียเป็นระยะเวลานาน โปรดแจ้งชื่อ และที่อยู่ต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ /สถานกงสุลฯ เพื่อประโยชน์ในการติดต่อหรือให้ความช่วยเหลือในกรณีจำเป็น 

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
56-N. Nyaya Marg, Chanakyapuri,
New Delhi - 110021
โทรศัพท์ +91 11 2611-5678, 2611-8103
โทรสาร +91 11 2687-2029      Website : www.thaiemb.org.in   E-mail : thaiemb@ndc.vsnl.net.in 
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ โทรศัพท์ 0 2575 1046-51 โทรสาร 0 2575 1052 


ช่วงเดือนที่น่าไปเที่ยวอินเดีย ที่สุด 
ช่วงต้นเดือนตุลาคม-ปลายเดือนมีนาคม


บริการโทรศัพท์ในประเทศ อินเดีย (India Communication )
โทรศัพท์มือถือที่นำไปจากประเทศไทยสามารถนำไปใช้ได้ เพียงแต่ซื้อซิมการ์ดเปลี่ยนเท่านั้นและมีราคาถูกมากประมาณ 99 บาทและซื้อบัตรเติมเงินที่มีราคาตั้งแต่ 350 – 1150 รูปี ค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่ใช้มือถือโทรออกประมาณนาทีละ 16 บาท ถ้าทางครอบครัวโทรจากเมืองไทยเข้าที่เครื่องเวลารับจะไม่เสียเงิน แต่ถ้าใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศระบบ IDSL จะถูกกว่ามากซึ่งจะเห็นติดป้ายอยู่ตามร้านอินเตอร์เน็ตทั่วไปมีระบบดิจิตอลจับเวลานาทีละ 7 บาท

เวลาประเทศ อินเดีย (India Time)
เวลาในประเทศอินเดียช้ากว่าในประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง แต่การทำกิจกรรมและบริหารเวลาจะต่างกันมากโดยทั่วไปชาวอินเดียส่วนใหญ่จะเริ่มงานและทานอาหารเช้าเวลา 10.00 น. และพักเที่ยงตอน 14.00 น.หรือ 15.00 น. และทานอาหารเย็นตอน 20.00 น.

ภาษาที่นิยมใช้ในประเทศ อินเดีย (India Language)
ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่ใช้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ใช้ในวงราชการและธุรกิจ นอกจากนั้น ยังมีภาษาท้องถิ่น อีกนับร้อยภาษา แต่ที่ใช้กันมากมี ๑๔ ภาษา อาทิ อูรดู เตลูกู เบงกาลี ทมิฬ และปัญจาบี

สกุลเงินตราประเทศ อินเดีย (India Currency)
รูปีอินเดีย (INR) หน่วยย่อยของรูปีเรียก เปซ่า (Paise) อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 40.88 รูปี และ 1 รูปี เท่ากับ 0.67 บาท ( ก.ย. 2553) 
บัตรเครดิตที่สามารถใช้ได้ทั่วไปคือบัตร Visa American Express และ Mastercard สามารถแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินรูปีได้ตามธนาคารและร้านค้าที่รับแลกเงินที่มีอยู่ทั่วไป ที่นิยมคือดอลลาร์สหรัฐและยูโร บริการแลกเปลี่ยนเงินตราภายในสนามบินมักรับแลกเงินบาทด้วย ชาวต่างประเทศอาจเปิดบัญชีกับธนาคารต่างประเทศได้ และผู้เปิดบัญชีควรถือเงินสดหรือ Traveller's Cheque แต่การเบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินตราต่างประเทศมีกฎระเบียบที่ค่อนข้างยุ่งยาก การเปิดบัญชีเงินสกุลท้องถิ่นกับธนาคารสามารถถอนเงินสดและรับเงินโอนจากบัญชีเงินตราต่างประเทศได้สะดวก ธนาคารที่สำคัญของภาครัฐ คือ State Bank of India และธนาคารอื่นๆ ในเครือ เช่น State Bank of Hyderabad และ State Bank of Mysore


ข้อควรระวัง เมื่อไปเที่ยวอินเดีย
ควรบริโภคอาหารและน้ำที่สะอาดเท่านั้น ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ โรคที่ควรระวัง คือ โรคท้องเสีย มาลาเรีย โรค Hepatitis A, B, C, D, (ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อทางอาหาร และน้ำดื่ม การถ่ายโลหิต การมีเพศสัมพันธ์ ฯลฯ) โรคไข้เลือดออก โรค HIV/DIDS (เอดส์) กามโรคชนิดต่าง ๆ
ยาที่ควรนำติดตัว ได้แก่ ยาแก้ไข้ แก้ปวด ยาแก้ท้องเสีย ยาป้องกันไข้มาลาเรีย ยาแก้แพ้ ทาผิวหนัง ยาแก้พิษแมลงกัดต่อย ยารักษาโรคเฉพาะบุคคล ฯลฯ ซึ่งการนำยาติดตัวควรมีใบสั่งยาของแพทย์กำกับไว้ด้วย สำหรับยาสามัญประจำบ้านมีจำหน่ายทั่วไป


พิธีการเข้าเมือง อินเดีย (India Immigration)
การตรวจลงตรา อินเดีย (India Visa)

ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยประเภทธรรมดาต้องขอรับการตรวจลงตราจากสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย หรือสถานกงสุลใหญ่อินเดียประจำประเทศไทยสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา หากพำนักอยู่ในประเทศอินเดียไม่เกิน 90 วันเงินตราต่างประเทศ เครื่องประดับ อุปกรณ์ไฟฟ้า  สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศได้ครั้งละไม่เกิน 10,000 เหรียญสหรัฐ แต่จะต้องแสดงรายการต่อเจ้าหน้าที่ก่อนนำเข้า ห้ามการนำเข้าและส่งออกเงินรูปีอินเดีย เครื่องประดับประเภททองรูปพรรณ จะนำเข้าได้ไม่เกิน 5 กิโลกรัม และต้องแสดงรายการต่อเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป กล้องวีดีทัศน์ จะต้องแสดงรายการต่อเจ้าหน้าที่
การแลกเปลี่ยน ชาวต่างประเทศอาจเปิดบัญชีกับธนาคารต่างประเทศได้ และผู้เปิดบัญชีควรถือเงินสด หรือ Traveller's Cheque การเบิกถอนเงินตราต่างประเทศในรูปเงินสดจากบัญชีธนาคารจะจำกัดไว้ไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐต่อเดือนต่อคน หากเกินครั้งละ 500 เหรียญสหรัฐต้องแสดงหลักฐานการอนุญาตให้นำเงินจำนวนนั้นเข้าประเทศ   


ระบบไฟฟ้าประเทศ อินเดีย (India Voltage)
ใช้ระบบไฟฟ้าเช่นเดียวกับประเทศไทย หากต้องการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าจากเมืองไทยไปใช้ที่อินเดีย อาจจะต้องเปลี่ยนปลั๊กไฟเป็นแบบขากลม

ตัวอย่างปลั๊กไฟและตัวแปลงที่ใช้กับปลั๊กไฟในประเทศ อินเดีย (India Plug)

ปลั๊กไฟอินเดีย

 


ฟิล์มและกล้องถ่ายรูปของประเทศ อินเดีย (India Camera)
ควรเตรียมไปให้เพียงพอโดยเฉพาะฟิล์มเพราะที่ต่างประเทศราคาจะสูงมากโดยเฉพาะ ตามสถานที่ท่องเที่ยว และควรเตรียมถ่านใส่กล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะอากาศเย็นถ่านจะเสื่อมสภาพเร็ว


ธรรมเนียมการทิปของประเทศ อินเดีย (India Tipping Etiquette)
การให้ทิปในต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง


อาหารต้องชิมของประเทศ อินเดีย
อาหารอินเดีย ก็สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ อย่างแรกเป็นอาหารทานเล่นหรืออาหารเรียกน้ำย่อย อาหารทานเล่นในอินเดีย มักเป็นจำพวกของทอดต่างๆ เช่น กะหรี่ปั๊ป ข้าวเกรียบแผ่น ซาโมซ่า ซามิกาบั๊ป และพาโคร่า เป็นต้น จะทานคู่กับน้ำจิ้ม 3 ชนิด แล้วแต่ว่าจะทานแบบไหน มีทั้งน้ำจิ้มสีเขียว รสชาติเผ็ดหน่อยๆ หรือจะเป็นน้ำจิ้มสีน้ำตาล ออกเปรี้ยวนำ และน้ำจิ้มหอมแดงดอง หลังจากที่ได้ทานอาหารทานเล่นแล้ว ก็ตามด้วยประเภทที่สอง ที่เรียกว่าอาหารจานหลัก ซึ่งโดยทั่วไปมักจะมีลักษณะคล้ายแกงของคนไทย ทานพร้อมๆ กันกับพวกของปิ้ง ของย่าง หรือของทอด เช่น แทนดูรี่ เป็นของชนิดย่าง อย่าง พวกไก่ย่างใส่เครื่องเทศ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นพวกแกง คนอินเดียไม่ค่อยใส่เนื้อกับผักปนกัน เลือกใส่อย่างใดอย่างหนึ่งลงไป เช่น ถ้าแกงใส่ผัก ก็จะมีแต่ผักเท่านั้น ส่วนของหวานสำหรับคนอินเดีย จะมีไว้ทานคู่กับชาอินเดีย และของหวานโดยมากจะทำจากนม เนย โยเกิร์ตเท่านั้น แต่สำหรับเครื่องดื่ม เน้นไปที่นมและโยเกิร์ต ปั่นรวมกับผลไม้สดๆ หรือจะเป็นประเภทชาอินเดีย แค่นี้ก็สามารถทำให้เห็นแล้วว่า อาหารอินเดียเป็นอาหารนานาชาติอีกชนิดหนึ่ง ที่น่าสนใจ และไม่มีขั้นตอนใดๆ ให้คนทานยุ่งยากใจ


รายการช้อปปิ้งของประเทศ อินเดีย (Shopping In India)
1. ผ้าคลุมไหล่
2. พระพิฆเนศ
3. งานหินแกะสลัก
4. เปเปอร์มาเช่
5. กระเป๋า
6. กล่องไม้แกะสลัก
7. กำไล


สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศ อินเดีย (India Attractions)
ประเทศอินเดีย จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆของโลก นักท่องเที่ยวหลายคนมีความใฝ่ฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้อง มีโอกาสเดินทางไปจาริกแสวงบุญช่วงเข้าพรรษา ณ ดินแดนชมพูทวีปแหล่งกำเกิดศาสนามากมาย ทั้งพุทธศาสนา ลัทธิเชน ฮินดู และองค์เทวะต่างๆ อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยและชาวโลก ได้แนะนำสถานที่จาริกแสวงบุญช่วงเข้าพรรษา สำหรับผู้มีจิตศรัทธาแรงกล้าไปร่วมเดินทางจาริกแสวงบุญกันที่ดินแดนกำเนิดของศาสนาและความเชื่ออัน ศักดิ์สิทธิ์ ประเทศอินเดีย ทั้งไปเยือนสักการะสังเวชนียสถานอันสำคัญของพุทธศาสนา และไปนมัสการเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูและลัทธิต่างๆ เพื่อความเป็นมงคลแก่ชีวิต 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดเชนรานัคปุระ (Ranakpur Temple) เมืองอุทัยปุระ (Udaipur)
วัดเชนรานัคปุระ (Ranakpur Temple) เมืองอุทัยปุระ (Udaipur) วัดหินอ่อนริมเทือกเขาอันเลื่องลือ เป็นวัดในศาสนาเชนที่มีงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรมอันทรงคุณค่า มีงานแกะสลักเสาหินอ่อนจำนวน 1444 ต้น ที่แต่ละต้นนั้นมีลวดลายไม่ซ้ำกันเลยสักต้น วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 เป็น 1 ใน 5 ของศาสนสถานอันยิ่งใหญ่ของ ศาสนาเชน นอกจากนั้นวัดแห่งนี้ก็ยังเป็นโบราณสถานระดับประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมความงามและสักการะพระมหาวีระ องค์พระศาสดาของศาสนาเชนที่ถือกำเนิด ในช่วงเวลาเดียวกับการเกิดของพระพุทธศาสนา นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้หลังจากเวลา 11 โมงเช้า เพราะในช่วงเช้าทุกวันจะมีพิธีกรรมทางศาสนาของชาวเมืองท้องถิ่น 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดบาไฮ (Bahai Temple) หรือ วัดดอกบัว (Lotus Temple) เมืองเดลี 
วัดบาไฮ (Bahai Temple) หรือวัดดอกบัว (Lotus Temple) เมืองเดลี (New Delhi) เป็นวัดที่สร้างขึ้นในยุคปัจจุบันและใช้เวลาสร้างเกือบ 10 ปี เพิ่งเปิดเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2529 แต่กระนั้นวัดแห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในวัดสำคัญๆ ของประเทศอินเดีย และเป็นไฮไลท์ในการไปเยือนเมืองเดลี ทั้งนี้วัดบาไฮไม่ได้สังกัดศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นหลัก แต่ สร้างขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่าวัดหรือศาสนสถานใดก็ตามต่างก็เป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาในการกระทำดีของผู้ที่ฝักใฝ่ในธรรมทุกคน โดยดอกบัวถือเป็นสัญลักษณ์แห่ง สันติภาพ ความรัก และความเป็นอมตะในวัฒนธรรมของอินเดีย ในตัวอาคารโดมดอกบัวขนาดใหญ่ภายในจัดให้เป็นห้องโถงสำหรับทำสมาธิที่มีความจุถึง 1300 ที่นั่ง จึงไม่น่า แปลกใจที่ทุกๆ วันจะมีผู้แสวงบุญจากที่ต่างๆ มานั่งสมาธิร่วมกันในโดมดอกบัวแห่งนี้ 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดศรีจินตามณี (Chintamani Temple) เมืองปูเน (Pune)
วัดศรีจินตามณี (Chintamani Temple) เมืองปูเน (Pune) หนึ่งในวัดสำคัญของเมืองปูเนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระพิฆเนศ ตามตำนานเล่ากันว่าในอดีตกาลนั้นมีฤาษีชื่อ “กปิล” หรือ “กปิละ” มีลูกแก้วสารพัดนึก “จินดามณี” หรือ “จินตามณี” ที่พระอินทร์ได้ประทานไว้ให้เพื่อดูแลคนในอาศรม วันหนึ่งเจ้าชายคณราช (บางตำราอ่านว่า “กานา”) ผู้ที่ได้ บำเพ็ญเพียรกับพระศิวะจนได้รับประทานพรให้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ได้เดินทางผ่านอาศรมของฤาษีกปิลและได้ล่วงรู้ถึงลูกแก้ววิเศษ จึงได้เอ่ยปากขอแต่ฤาษีปฏิเสธที่จะให้ เจ้าชาย คณราชจึงทำการแย่งชิงไป ส่งผลให้เกิดความอดอยากขาดแคลนอาหารในอาศรมตามมา ฤาษีจึงได้ไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระพิฆเนศให้ช่วยนำลูกแก้วกลับมา วัน ถัดมาองค์พระพิฆเนศได้เสด็จมาช่วยฤาษีกปิลปราบกองทัพของเจ้าชายคณราชจนหมดสิ้น เมื่อพระบิดาของเจ้าชายคณราชทราบเรื่องก็รีบนำลูกแก้วมาคืนและขอขมาต่อฤาษี หลังจากนั้นฤาษีได้อธิษฐานขอให้พระพิฆเนศมาประทับที่อาศรมนี้ตลอดไป จึงเป็นที่มาของวัดจินตามณี มีความเชื่อกันว่าหากใครได้มาขอพรกับลูกแก้ววิเศษที่วัดพระพิฆเนศ แห่งนี้จะสำเร็จสมหวังทุกประการ 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดศรีมยุเรศวร (Shri Mayureshwar Mandir or Morgaon Ganesha Temple)
วัดศรีมยุเรศวร (Shri Mayureshwar Mandir or Morgaon Ganesha Temple) เมืองโมเรกาวน์ (Morgaon) ใกล้กับเมืองปูเน (Pune)วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านนกยูง ที่เคย เป็นที่อยู่อาศัยของนกยูงจำนวนมาก ตามตำนานเล่ากันว่าในอดีตนั้นมีเจ้าชายชื่อ “สินธุ” ที่เป็นได้รับประทานพรจากพระสุริยเทพให้เป็นอมตะ แต่เจ้าชายสินธุนั้นมีนิสัยดุร้าย เมื่อได้รับพรมาแล้วได้เที่ยวไปจับเทวดานางฟ้ามากักขัง เรื่องร้อนไปถึงพระพิฆเนศต้องประทับหลังนกยูงลงมาปราบ เมื่อปราบเจ้าชายสินธุได้แล้ว มหาเทวะทั้ง 5 องค์ (พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระศักติ และสุริยเทพ) ได้ขอให้พระพิฆเนศประทับที่นี่ พระพิฆเนศจึงได้เนรมิตเทวสถานแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ในการดูแลรักษาเมือง จึง เป็นที่มาของความศรัทธาที่ว่าหากได้มาสักการะที่วัดแห่งนี้แล้วจะแคล้วคลาดจากอุปสรรคและภยันตรายทั้งปวง 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : สังเวชนียสถานกุสินารา (Kushinagar) เมืองโคราฆปุระ (Gorakhpur) 
สังเวชนียสถานกุสินารา (Kushinagar) เมืองโคราฆปุระ (Gorakhpur) 1 ใน 4 สังเวชนียสถาน โดยเป็นสถานที่ตั้งของป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน หรือ “สาลวโนทยาน” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหิรัญญวดี ภายหลังถัดมาได้มีการสร้างวัดและศาสนถานในบริเวณนี้ขึ้นเป็นจำนวนมากแต่ก็ถูกปล่อยให้รกร้างเมื่อพุทธศาสนาเสื่อมความศรัทธา ลงในช่วงปีพ.ศ. 1743 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2433 ได้มีภิกษุมหาวีระ สวามีและท่านเทวจันทรมณี ชาวศรีลังกา ได้เดินทางมาจาริกแสวงบุญและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่เมืองกุสิ นาราร่วมกับ เน ซารี ชาวพุทธพม่า และได้สร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า "มหาปรินิวานะ ธรรมะศาลา" นอกจากนั้นยังได้บูรณะศาสนสถานเดิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช “สถูปปรินิพพาน” ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีอายุกว่า 1,500 ปี ปัจจุบันเป็นศาสนสถานและโบราณสถานสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาสักการะ 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : สังเวชนียสถานสารนาถ (Sarnath Buddhist Monastery)
สังเวชนียสถานสารนาถ (Sarnath Buddhist Monastery) เมืองสารนาถ (Sarnath) ใกล้กับเมืองพาราณสี (Varanasi) สารนาถหรือป่าอิสิปตนมฤคทายวันในสมัยพุทธกาล เป็น สถานที่บำเพ็ญตบะของเหล่าฤาษี นักพรต และเป็นสถานที่ๆ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกแก่ปัจวัคคีย์ “ธรรมจักรกัปวัตนสูตร” โดยเชื่อกันว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมที่ บริเวณ “ธรรมเมกขสถูป” ซึ่งเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่สร้างถวายโดยพระเจ้าอโศกมหาราชในภายหลังและยังดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนั้น ณ สังเวชนียสถานแห่ง นี้ยังเป็นสถานที่ๆ พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศให้พระสาวกเริ่มเดินทางไปประกาศพระพุทธศาสนาในเมืองต่างๆ ทำให้สังเวชนียสถานสารนาถถือเป็นเป็นศูนย์กลางของศาสนา พุทธแห่งแรก สังเวชนียสถานสารนาถได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2465 หลังจากถูกปล่อยร้างและทำลายลงในช่วงที่ราชวงศ์โมกุลและศาสนาฮินดูเข้ามามี อิทธิพล โดยกองโบราณคดีของอังกฤษได้เข้ามาขุดค้นพบซากสถูปและศาสนสถานภายในบริเวณ และท่านอนาคาริก ปาละ ชาวศรีลังกาได้เข้ามาฟื้นฟูสารนาถให้เป็นแหล่ง สำคัญทางพุทธศาสนาอีกครั้ง 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : พุทธคยา (Bodh Gaya) เมืองพิหาร (Bihar)
พุทธคยา (Bodh Gaya) เมืองพิหาร (Bihar) ใกล้กับเมืองคยา (Gaya) มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วัดมหาโพธิ์ และเป็นหนึ่งในมรดกโลกอันสำคัญทางวัฒนธรรม เป็นสถานที่ๆ พระ พุทธเจ้าตรัสรู้ เป็น 1 ใน 4 สังเวชนียสถานสำคัญของพุทธศาสนา ภายในเขตพุทธคยาแห่งนี้มีสถานที่สำคัญทางศาสนาอยู่หลายแห่ง เข่น ต้นศรีมหาโพธิ์ อันเป็นต้นโพธิ์ที่เกิด มาพร้อมกับวันที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ แต่ได้ถูกทำลายลงหลายครั้ง แต่ก็ได้มีการปลูกทดแทนต้นเดิมจากหน่อของต้นเดิมมาเรื่อยๆ จนถึงในปัจจุบันเป็นต้นที่ 4 พระแท่นวัชร อาสน์ที่ประทับของพระพุทธเจ้าเมื่อทรงบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เห็นธรรม และมหาโพธิ์เจดีย์ขนาดใหญ่ที่พระเจ้าหุวิชกะได้สร้างถวายเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นที่ปฏิบัติธรรมของผู้ มีจิตศรัทธา พุทธคยาได้เสื่อมถอยลงในช่วงศาสนาฮินดูเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนชมพูทวีปและถูกแปลงให้เป็นเทวสถานและปล่อยทิ้งให้ชำรุดทรุดโทรมในกาลเวลาต่อมา จน ถึงช่วงที่อังกฤษเข้ามาครอบครองอินเดีย พุทธคยาจึงได้ถูกค้นพบและได้รับการบูรณะครั้งใหญ่จากพุทธศาสนิกชนที่ได้รับรู้ถึงสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : มหาสถูปเกสรียา (Kesariya Stupa) เมืองพิหาร (Bihar) 
มหาสถูปเกสรียา (Kesariya Stupa) เมืองพิหาร (Bihar) ใกล้กับเมืองคยา (Gaya) มหาสถูปขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดียที่มีลักษณะคล้ายกับบุโรพุทโธและเจดีย์ชเวดากอง สันนิษฐานว่ามหาสถูปเกสรียาเป็นต้นแบบของสถูปทั้งสอง นอกจากนั้นในบริเวณเดียวกันยังได้ขุดค้นพบเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย ที่มาของมหาสถูป แห่งนี้นั้นในสมัยพุทธกาลเป็นที่อยู่อาศัยของชาวกาลามชน ในครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จผ่านหมู่บ้านแห่งนี้และได้ทรงแสดงธรรมเทศนาที่เรียกว่า “เกสปุตตสูตร” หรือ “กา ลามสูตร” หรือหลักแห่งความเชื่อที่ไม่งมงาย 10 ประการ 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดพระเชตวันมหาวิหาร (Jetavana Monastery)
วัดพระเชตวันมหาวิหาร (Jetavana Monastery) เมืองสาวัตถี (Shrivasti) ใกล้กับเมืองลัคเนา (Lucknow) วัดโบราณของพุทธศาสนาในอินเดียอันมีต้นโพธิ์ที่เกิดจากเมล็ดของ ต้นศรีมหาโพธิ์ที่พระอานนท์ได้นำมาจากพุทธคยา ชื่อว่า “ต้นอานันทโพธิ์” ที่ยังคงยืนต้นมาจนปัจจุบันนี้ วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองสาวัตถีที่พระพุทธเจ้าเคยมา ประทับจำพรรษาอยู่ถึง 19 พรรษา แม้ว่าในปัจจุบันวัดแห่งนี้จะเหลือเพียงซากโบราณสถานแต่ก็ได้รับการบูรณะอย่างดีที่สุดเท่าสามารถทำได้ และยังเป็นที่จาริกแสวงบุญของ พุทธศาสนิกชนจากทั่วโลก ภายในวัดพระเชตวันนอกจากจะมีต้นอานันทโพธิ์แล้ว ก็ยังมีกุฏิพระมหาเถระ และบ่อน้ำสรงสนาน ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลอีกด้วย 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดเวฬุวันมหาวิหาร (Venuvana Monastery)
วัดเวฬุวันมหาวิหาร (Venuvana Monastery) เมืองราชคฤห์ (Rajgir) ใกล้กับเมืองคยา (Gaya) เป็นวัดแห่งแรกของศาสนาพุทธ ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาบรรพต นอกกำแพงเมืองเก่า ราชคฤห์ แต่เดิมนั้นเป็นเขตพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสารที่ในกาลต่อมาได้ยกถวายเป็นพุทธบูชาให้เป็นที่บำเพ็ญธรรมของเหล่าสงฆ์จึงนับได้ว่าสวนเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรก นอกจากนั้นสวนแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ๆ พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสาวกจำนวน 1,250 รูป ในวันมาฆบูชาอีกด้วย ในปัจจุบันเป็นป่าไผ่และมีซากโบราณสถานที่ ยังหลงเหลืออยู่ เป็นสถานที่ๆ มีผู้มาจาริกแสวงบุญเป็นจำนวนมาก 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : เขาคิชกูฎ (The Gijjhakuta-The Vulture Peak) 
เขาคิชกูฎ (The Gijjhakuta-The Vulture Peak) เมืองราชคฤห์ (Rajgir) ใกล้กับเมืองคยา (Gaya) ในบริเวณเขาแห่งนี้มีศาสนสถานสำคัญตั้งอยู่ คือ สถูปวิศวะศานติ (Vishwa Shanti Stupa) ซึ่งเป็นวัดญี่ปุ่นที่สมณะท่านฟูจิได้สร้างถวายเป็นพุทธบูชา มีพระพุทธรูปรอบสถูปสี่องค์ สถูปแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นเขาคิชกูฎ ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารได้ทำทาง ลาดเพื่อขึ้นไปบนยอดเขาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระสงฆ์และชาวเมืองที่จะมานมัสการพระพุทธเจ้า รวมไปถึงพระองค์เองที่มักจะมาสนทนาธรรมกับพระพุทธองค์อยู่บ่อยๆ โดยบนยอดเขานั้นมี “มูลคันธกุฎี” หรือที่ประทับของพระพุทธเจ้า และบริเวณทางขึ้นก็ยังมี “ถ้ำสุกรขาตา” สถานที่ๆ พระสารีบุตรได้บรรลุธรรม และ “ถ้ำสัตตบรรณคูหา” อันเป็น ที่ทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นครั้งแรก 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : India Gate
India Gate หรือประตูเมืองอินเดีย เป็นสิ่งก่อสร้างมีลักษณะคล้ายคลึง L’ Arc de Triomphe ของ ฝรั่งเศส มีความมุ่งหมายให้เป็นอนุสรณ์แก่ทหารที่พลีชีวิตในสงครามครั้งสำคัญๆ ของอินเดีย โดยได้จารึก รายชื่อของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ เช่น ทหารและข้าราชการอินเดียและอังกฤษ จำนวน 13,516 คน ที่ พลีชีวิตในสงครามชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และสงครามอัฟกานครั้งที่ 3 และรวมทั้งทหารอินเดีย จำนวน 60,000 นาย ที่เสียชีวิตในสงครามโลก ครั้งที่ 1 ส่วนบนยอดของประตูอินเดีย สร้างเป็นอนุสรณ์แก่ทหารนิรนาม วัสดุในการก่อสร้างเป็นหินทรายแดง เป็นแท่งทึบ มีความสูงจากระดับพื้นถนน 42.3 เมตร ส่วนโค้งของซุ้มประตู กว้าง 9.1 เมตร สูง 22.8 เมตร ตรงกลางระหว่างประตูมีกระถางหินทรายแดงขนาดใหญ่ จุดไฟลุกโชนไม่เคยดับมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 และมีอักษรจารึกเป็นภาษาฮินดีว่า “อมร ชะวาน ชโยติ” (อมร – ผู้ไม่ตาย ชะวาน – ทหาร และ ชโยติ – ความรุ่งเรือง หรือ ความสว่าง) 

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : ราชฆาฎ (Raj Ghat)
ราชฆาฎ คืออนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงมหาตมคานธี บิดาแห่งชาติอินเดีย (Father of the Nation) อนุสาวรีย์แห่งนี้คนทั่วไปเรียกว่า คานธีสมาธิ สร้างขึ้นบริเวณที่เผาศพมหาตมคานธี ณ จุดที่เผาศพสร้างเป็นแผ่นหินเรียบๆ สีดำยกพื้นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีดวงไฟจุดบูชาไว้ตลอดเวลา ข้างๆ แท่นหินนี้เขียนไว้ว่า “เห ราม” ( Oh God!) อันเป็นคำที่มหาตมคานธีกล่าวก่อนสิ้นใจเมื่อถูกยิง รอบแท่นหินมีทางเดินยกระดับก่อด้วยหินสีนวลล้อมเป็นบริเวณกว้าง ที่ตั้งของราชฆาฏมีอาณาบริเวณกว้างขวางนับสิบๆไร่ มีการจัดวางภูมิสถาปัตย์ได้สง่างาม สมกับเป็นที่รำลึกถึงมหาบุรุษของชาติ ราชฆาฎนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่อาคันตุกะสำคัญจากต่างประเทศมักไปวางพวงมาลาเพื่อแสดงความคารวะแด่มหาตมคานธี


สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : พิพิธภัณฑ์มหาตมคานธี (Gandhi Memorial Museum)
พิพิธภัณฑ์มหาตมคานธี ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับราชฆาฏ เป็นที่แสดงภาพถ่าย เอกสารต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของมหาตมคานธี ตลอดจนสิ่งของส่วนตัวของมหาตมคานธี รวมทั้งมีห้องสมุดที่รวบรวมผลงานของคานธีและหนังสืออื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : พิพิธภัณฑ์มหาตมคานธี (Gandhi Smriti Museum)
ตั้งอยู่บนถนน Tees January Marg ใจกลางกรุงนิวเดลี ภายในบริเวณพิพิธภัณฑสถาน ประกอบด้วยบ้านพักที่มหาตมะคานธีอาศัยอยู่ในช่วง ๑๔๔ วันสุดท้ายของชีวิต ตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๔๙๐ จนกระทั่งถูกลอบสังหารในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๔๙๑ นิทรรศการแสดงภาพชีวประวัติและเรื่องราวการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราช อนุสรณ์สถาน ณ บริเวณที่มหาตมะคานธีเสียชีวิต รูปปั้นมหาตมะคานธี เปลวเพลิงเป็นเครื่องรำลึกถึงมหาตมะคานธี กลองสันติภาพ ห้องจัดแสดงตุ๊กตาจำลองเรื่องราวชีวิตของมหาตมะคานธีภายในบริเวณอาคารบ้านพักเป็นที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวของมหาตมะคานธี ภาพถ่าย เอกสารต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของมหาตมะคานธี และเอกสารอื่นๆ รวมถึงภาพยนต์สารคดีที่แสดงถึงชีวประวัติ แนวความคิด และการเคลื่อนไหวเพื่อการเรียกร้องเอกราชของมหาตมะคานธี โดยการใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการนำเสนอเรื่องราวต่าง รัฐบาลอินเดียได้ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองบ้านดังกล่าวตั้งแต่ปี ๒๕๑๔ และได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานคานธี เปิดให้บุคคลภายนอกเยี่ยมชมในปี ๒๕๑๖ หลังจากนั้น มีการปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานและเปิดให้เข้าชมในปี ๒๕๔๘

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : ราษฎร์ปติภวัน (Rashtrapati Bhavan)
ราษฎร์ปติภวัน หรือทำเนียบประธานาธิบดีของอินเดีย ตั้งอยู่ ที่ต้นถนน Rajpath ด้านตะวันตกบนเนิน ที่เรียกว่า Raisina Hill ตรงข้ามกับ India Gate ซึ่งอยู่ปลายถนนด้านตะวันออก เดิมเคยใช้เป็นวังของอุปราชอังกฤษในสมัยอาณานิคม มีห้องถึง 340 ห้อง ออกแบบโดย Sir Lutyens สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1929 เป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างตะวันตกกับศิลปะโมกุล ตัวห้องโถงที่เรียกว่า Durbar Hall มีโดมขนาดใหญ่แบบอินเดียทำด้วยทองแดงอยู่ด้านบน ใช้เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญๆของทางการ ทางทิศตะวันตกมีสวนโมกุล (Mughal Garden) ซึ่งมีชื่อเสียงว่างดงามมาก เปิดให้คนทั่วไปชมเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้ออกดอกสวยงาม ทั้งตัวอาคารและสวนมีเนื้อที่ถึง 350 เอเคอร์

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ (National Museum)
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอินเดีย ตั้งอยู่ที่ถนน Janpath กรุงนิวเดลี เป็นสถานที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุและศิลปกรรมของอินเดียมากกว่า 150,000 ชิ้น ที่ตกทอดมาตั้งแต่อารยะธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus Valley relics) แสดงความเป็นมาของประวัติศาสตร์อินเดียที่มีอายุกว่า 5000 ปีรวมทั้งศิลปกรรมอันล้ำค่าของเอเชียกลางจากเส้นทางสายไหม ซึ่งนับว่าหาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สิ่งสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจากทั่วโลกจะต้องเข้าไปสักการะเมื่อมาเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ พระบรม-สารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งประดิษฐานอยู่บนบุษบกไม้สักแกะสลักปิดทอง*ที่รัฐบาลไทยได้จัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา โดยได้มอบให้เป็นของขวัญแก่รัฐบาลอินเดียเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ปัจจุบันบุษบก ดังกล่าวประดิษฐานอยู่กลางห้องโถงทางปีกซ้ายของพิพิธภัณฑสถาน พระบรมสารีริกธาตุมีลักษณะเป็นพระบรมอัฐิขนาดค่อนข้างใหญ่ประมาณ 1 .5 – 2 นิ้ว ซึ่งแตกต่างจากพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ที่ปูชนียสถานสำคัญๆ ของไทยที่มักจะมีลักษณะเหมือนเมล็ดข้าวหักเล็กๆ หรือเมล็ดงาสีขาว *(ส่วนยอดของบุษบกทำจากทองคำหนัก 102 กรัม บนยอดประดับด้วยอัญมณี) National Museum

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : ป้อมแดง (Red Fort)
คำว่า ป้อมแดง หรือ Red Fort หรือที่คนอินเดียทั่วไปเรียกว่า ลาล ขีลา (ลาล-แดง ขีลา-ป้อมปราการ) สร้างขึ้นจากหินทรายแดง เป็นพระราชวังของชาห์ เชฮันพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งของราชวงศ์โมกุล (องค์เดียวกับที่ทรงสร้างทัช มาฮาล) ปัจจุบันป้อมแดงใช้เป็นที่ประกอบพิธีฉลองเอกราชของอินเดีย ในวันที่ 15 สิงหาคมของทุกๆ ปี นายกรัฐมนตรีจะทำพิธีคลี่ธงชาติ และกล่าวสุนทรพจน์ ณ เชิงเทินของพระราชวังป้อมแดงนี้ป้อมแดงขนาดใหญ่ในอินเดีย มีอยู่ 2 แห่ง คือที่เดลี และอัคราซึ่งอยู่ห่างจากเดลี ประมาณ 200 กิโลเมตร ป้อมแดงที่เดลีเป็นป้อมปราการมีขนาดใหญ่มาก วัดรอบกำแพงทุกด้านเป็นความยาวถึง 1 ไมล์ครึ่ง กำแพงด้าน แม่น้ำยมุนาสูง 60 ฟุต ด้านอื่นสูงบ้างต่ำบ้างไม่เท่ากัน กำแพงบางแห่งสูง 75 ฟุต บางแห่งสูงถึง 110 ฟุต พระเจ้าชาห์ เชฮัน ทรงโปรดให้สร้างป้อมแดงในปี พ.ศ. 2181 (ค.ศ. 1638) ใช้เวลาสร้าง 10 ปีเสร็จในปี พ.ศ.2191 นับถึงปัจจุปันมีอายุกว่า 350 ปี ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวป้อมนี้ ต้องประสบภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากข้าศึกศัตรูหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2262 เกิดแผ่นดินไหว เป็นผลให้ป้อมแดงได้รับความเสียหายต้องซ่อมแซมครั้งใหญ่ ในปี พ.ศ. 2282 ถูกกองทัพเปอร์เซีย เข้ามาปล้นเอาทรัพย์สมบัติมีค่าไปเป็นอันมาก รวมทั้งราชบัลลังก์นกยูง (Peacock Throne) ซึ่งทำด้วยทองและเพชรนิลจินดาอันหาค่ามิได้ และต่อมาเมื่ออำนาจของราชวงศ์โมกุลเสื่อมโทรมลง ก็ถูกปล้นอีกหลายครั้ง ป้อมแดงมีประตูใหญ่ 2 ประตู คือ ประตูละฮอร์ (Lahore Gate) ซึ่งหันหน้าไปทางเมืองละฮอร์ในประเทศปากีสถาน ซึ่งเป็นประตูที่อนุญาตให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชม ซึ่งมีลักษณะที่น่าสังเกตผิดกับประตูพระราชวังทั่วไป เพราะมองจากภายนอกไม่เห็นประตู เห็นแต่เชิงเทินสูงกำบังประตูไว้ ก่อนจะเข้าถึงตัวพระราชวังมีประตูด้านใน และมีทางทอดยาว ประมาณ 80 เมตร ไปถึง หอกลอง ที่เรียกว่า เนาปัตคะบา เป็นตึกสองชั้นซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าพนักงานกรมมหรสพทั้งกรมอาคารหลังแรกที่เข้าไปถึง เรียกว่า ดิวันอิอัม (Diwan-I-Am) เป็นที่ออกขุนนางชั้นนอก มีราชบัลลังก์ หินอ่อนอยู่ด้านใน เป็นที่พระเจ้าแผ่นดินประทับเวลาออกขุนนาง ผนังห้องราชบัลลังก์ฝังหินสีต่าง ๆ ซึ่งเป็นลวดลายนก ดอกไม้คล้ายของจริงมากที่สุด และยังคงสวยงามไม่ลบเลือนต่อจากดิวันอิอัมหรือห้องออกขุนนางชั้นนอก ก็จะถึงสถานที่ที่เรียกว่ารังคมาฮาล (Rang Mahal) เป็นที่ทรงพระสำราญหลังการออกขุนนาง และฝ่ายในจะคอยเฝ้าที่นี่ พระที่นั่งหลังนี้สร้างบนกำแพงวังสูงมาก มีหน้าต่าง 5 ช่องสำหรับให้นางในไว้ชมการชนช้างต่อจากพระที่นั่งรังคมาฮาล ถึงพระที่นั่งที่เรียกว่า ดิวันอิขาส (Diwan-I-Khas) เป็นที่นั่งเฝ้าชั้นใน สร้าง ด้วยหินอ่อนสีขาว ฝีมือก่อสร้างประณีตกว่าพระที่นั่งชั้นนอก เพดานเป็นไม้แกะสลักสวยงาม มีพระแท่น ราชบัลลังก์ซึ่งเคยประดิษฐานราชบัลลังก์นกยูง ที่เรียกว่า Peacock Throne ทำด้วยทองคำแท้ ฝังเพชรนิลจินดาล้ำค่า (บัลลังก์นี้ถูก Nadir Shah กษัตริย์เปอร์เซียที่เข้ามาโจมตีอินเดียนำไปไว้ที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ในปี ค.ศ. 1739) ในห้องนี้มีอักษรจารึกไว้ว่า “ถ้าจะมีสวรรค์วิมานอยู่บนพื้นพิภพนี้ ก็คือ ที่นี่เอง ที่นี่เอง ที่นี่เอง” (“If there is a paradise on earth it is this, it is this, it is this”) เป็นคำจารึกที่ชอบพูดกันมากตัวปราสาทที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า คาสมาฮาล มีที่อยู่แบ่งออกเป็น 3 ตอน มี ห้องสรงสร้างอย่างวิจิตร ส่วนห้องบรรทมเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีประตูเปิดปิดได้เลย ใช้เพียงม่านกั้นเท่านั้น ใช้คนเป็นยามเฝ้ารักษาแทนการปิดประตู และมีหอยื่นออกมาหอหนึ่ง ที่หอนี้พระเจ้าแผ่นดินต้องตื่นขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ และต้องแสดงพระองค์ให้ปรากฏแก่ราษฎรทุกเช้า เพื่อให้รู้แน่ว่ายังมีพระชนม์อยู่ศิลปกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่เชิดหน้าชูตาเดลี และเป็นถาวรวัตถุคู่กับพระราชวังป้อมแดง คือ ชามามัสยิด (Jama Masjid) เป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตะวันออก และเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายของพระเจ้าชาห์ ชาฮันสร้างด้วยหินทรายแดงและหินอ่อน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2187 (ค.ศ.1644) แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ.1658) มีประตูเข้า 3 ประตู หอคอยอยู่ 4 มุม และหอสูง(Minaret) 2 หอ ความสูง 40 เมตร Red Fort

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : กุตับมีนาร์ (Qutab Minar)
กุตับมีนาร์ (กุตับ-ชื่อของกษัตริย์ กุตับอุดดินไอบัก มีนาร์-หอสูง) หรือเดิมชื่อ ปฤถวีสตัมภ์ (ปฤถวี-ชื่อของกษัตริย์ฮินดู สตัมภ์-เสา) เป็นหอสูงที่น่าจะถือเป็นเครื่องหมายของเดลี เป็นถาวรวัตถุที่มีความงามได้ สัดส่วน ภายนอกเป็นหินทรายสีแดง สร้างเป็นลูกฟูกขึ้นไปอย่างเกลี้ยงเกลา ซึ่งได้มีการสร้างต่อกันขึ้นไปหลายทอด หลายยุคสมัย แต่ละลูกฟูกจารึกเป็นอักษรอาระบิกจากบทสวดในพระคัมภีร์โกหร่านเดิมพระเจ้าปฤถวีราช กษัตริย์ฮินดูทรงสร้างหอไว้สูงเพียง 95 ฟุต เพื่อให้ลูกสาวขึ้นไปดูแม่น้ำยมุนาอันศักดิ์สิทธิ์ในขณะสวดมนต์ ต่อมากษัตริย์กุตับอุดดินไอบัก ( Qutub ud-din Aibak) ซึ่งเป็นกษัตริย์มุสลิม ได้ ปรับปรุงในปี พ.ศ. 1743 จากนั้นกษัตริย์องค์อื่นในราชวงศ์เดียวกันได้สร้างต่ออีกสองครั้ง ในปี พ.ศ. 1753 และ พ.ศ. 1779 กษัตริย์ฟิโรซ ชาห์ แห่งราชวงศ์ตุกลัขได้เสริมต่อจนเป็นรูปอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นศิลปกรรมแบบมุสลิมผสมฮินดูที่หาดูได้ยากความสูงของหอนี้รวมทั้งหมด 238 ฟุต แบ่งออกเป็น 5 ชั้น ภายในโปร่ง มีบันไดขึ้นไป 379 ขั้น มีระเบียบบังคับว่าคนคนเดียวขึ้นไปไม่ได้ เพราะมีคนขึ้นไปกระโดดฆ่าตัวตายบ่อยๆ จึงยอมให้คนอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปได้ แต่ปัจจุบันห้ามขึ้นในบริเวณกุตับมีนาร์ มีถาวรวัตถุเป็นศิลปะฮินดูเดิม แล้วมุสลิมมาสร้างเสริมเติมแต่งให้ ซึ่งปัจจุบันเป็น ที่นิยมของคนไปเยี่ยมชมไม่แพ้หอกุตับมินาร์ คือ เสาเหล็ก ทำด้วยเหล็กอย่างดีไม่เป็นสนิม เข้าใจว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ. 800 หลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่เสามีคำจารึกเป็นภาษาสันสกฤต เป็นคำบูชาถวายพระวิษณุ การฝังเสาทำได้แน่นหนามาก เล่ากันว่ากษัตริย์มุสลิมพยายามเอาปืนใหญ่ยิงใกล้ ๆ ยังไม่โค่นไม่ร้าว รอยเสาที่ถูกปืนใหญ่ ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ ความสูงของเสานี้ 32 ฟุต 8 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 16 นิ้ว เป็นที่เชื่อกันว่า ถ้าใครเอาหลังพิงเสานี้ แล้วเอาแขนโอบทางเบื้องหลัง จนมือจับกันได้ ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์หรือมีบุญวาสนา หรือหากทำดังนั้นแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ความปรารถนาใดๆ ที่ขอจะสัมฤทธิ์ผล Qutab Minar

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดลักษมีนารายัน (Lakshmi Narayan Temple)
วัดลักษมีนารายันหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Birla Mandir ตามชื่อของผู้สร้าง คือ นาย Raja Baldev Birla ซึ่งเป็นนักธุรกิจคนสำคัญของอินเดีย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2481 เพื่อบูชาพระนารายณ์ (พระผู้พิทักษ์โลก) และพระลักษมี (เทพแห่งความมั่งคั่ง) เป็นที่ซึ่งคนอินเดียและคนต่างชาติที่นับถือเทพเจ้าทั้งสององค์นิยมไปกราบไหว้ขอพร ซึ่งเชื่อว่าจะทรงบันดาลให้สมความปรารถนา นอกจากเทวรูปสำคัญ 2 องค์ดังกล่าวแล้ว ในบริเวณวัดที่สร้างอย่างงดงามยังมีเทวรูปตามความเชื่อของฮินดูอีกหลายองค์ เช่น พระกฤษณะ และพระพิฆเนศ สำหรับพระพิฆเนศ เป็นที่นิยมว่าศักดิ์สิทธิ์มาก คนไทยที่มาเยี่ยมมักจะไปกราบขอพรให้ทำกิจการต่างๆ สำเร็จ และเล่ากันว่าได้รับพรตามความมุ่งหมาย
Lakshmi Narayan Temple

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : สุสานหุมายุน (Humayun’s Tomb)
สุสานหุมายุนเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์หุมายุน ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่สองของราชวงศ์โมกุล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1565 โดยสถาปนิกชาวเปอร์เชียชื่อ Mirak Mirza Ghiyas และอำนวยการสร้างโดยมเหสีของกษัตริย์หุมายนนามว่า Haji Begun สุสานหุมายุนเป็นแบบอย่างสถาปัตยกรรมโมกุลที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง และเป็นแบบอย่างในการสร้างทัชมาฮาลในเวลาต่อมา ภายในสุสานมีสวนที่ได้รับการจัดแต่งอย่างสวยงามและดูแลเป็นอย่างดี หลุมฝังศพของมเหสีต่างๆ ของกษัตริย์หุมายุน รวมทั้ง Haji Begun เองก็อยู่ภายในสุสานนี้ นอกจากนี้ หลุมฝังของช่างตัดผมคนโปรดของกษัตริย์หุมายุนก็อยู่ในบริเวณสุสานเช่นกัน Humayun’s Tombr

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : วัดบาไฮ (Bahai Temple)
วัดบาไฮหรือที่เป็นที่รู้จักในนามว่าวัดดอกบัว (Lotus Temple) เป็นสถาปัตยกรรมที่นำสมัยมากที่สุด ชิ้นหนึ่งของกรุงนิวเดลี โดยมีลักษณะเป็นรูปดอกบัวบาน ซึ่งประกอบด้วยใบบัวหินอ่อนจำนวน 27 กลีบ อาคารใหญ่โตนี้ล้อมรอบด้วยสระน้ำจำนวนถึง 9 สระ และสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีและมีขนาดกว้างใหญ่ถึงประมาณ 67.5 ไร่
บาไฮเป็นนิกายที่มีถิ่นกำเนิดจากเปอร์เชีย วัดนี้จึงได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิหร่านชื่อว่า Fariburz Sabha เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1980 และเสร็จสิ้นการก่อสร้างเมื่อปี 1986 ภายในวัดสามารถจุคนได้ถึง 1, 300 คน โดยทุกคนสามารถมานั่งสมาธิที่นี่ไม่ว่าจะนับถือศาสนา/นิกายใด ทั้งนี้ วัดบาไฮจะมองดูงดงามเป็นพิเศษในตอนกลางคืน เนื่องจากได้รับการประดับประดาด้วยไฟดวงน้อยใหญ่ ซึ่งทำให้หินดอกบัวหินอ่อนสว่างไสวขึ้นมาในยามค่ำคืน Bahai Temple

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเนรูห์ (Nehru Memorial Museum and Library)
พิพิธภัณฑ์นี้เดิมเป็นบ้านของ Jawaharlal Nehru นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1947-1964 โดยในขณะนั้นบ้านนี้มีชื่อว่า Teen Murti Bhavan ทั้งนี้ก่อนหน้าที่บ้านหลังนี้จะเป็นที่พำนักของนายกรัฐมนตรีเนรูห์ ได้เคยเป็นทำเนียบของผู้บัญชาการทหารของกองทัพอังกฤษในอินเดีย บ้านหลังนี้ได้รับการออกแบบโดย Robert Tor Russell พิพิธภัณฑ์เนรูห์ได้จัดแสดงห้องนอนและห้องทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในสภาพเดิมก่อนที่จะถึงแก่อสัญกรรม ที่น่าสนใจคือ ชั้นหนังสือตามทางเดินภายในบ้าน ซึ่งประกอบไปด้วยหนังสือสะสมต่างๆมากมายของเนรูห์ พิพิธภัณฑ์นี้มีความหมายต่อประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของอินเดียมาก เนื่องจากนอกจากจะเป็นบ้านของนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียแล้ว ยังเคยเป็นบ้านของนายกรัฐมนตรีอินเดียจากตระกูลคานธีในอนาคตต่อมาอีกสองคนอีกด้วยคือ นางอินธิรา คานธี บุตรสาว และนายราจีฟ คานธี หลานชาย ซึ่งทั้งคู่ถูกสังหารขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี Nehru Memorial Museum and Library

สถานที่ท่อง เที่ยวอินเดีย : กัมมาสธัมมะนิคม (Asokan Rock Edict)
ตั้งอยู่ในเขตไกรลาศตะวันออก กรุงนิวเดลี เป็นสถานที่ซึ่งปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จฯมา เพื่อทรงแสดงธรรมมหาสติปัฏฐานสูตร ในนครอินทรปัตถ์ให้แก่ชาวกุรุ ณ เมืองที่เรียกว่า “กัมมาสธัมมะนิคม” ตรงจุดที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา ปัจจุบันเป็นกองหินสีแดงขนาดย่อม และมีแผ่นหินก้อนหนึ่งบริเวณยอกกองหินซึ่งมีข้อความจารึกด้วยอักษรพราหมมี เชื่อกันว่าพระเจ้าอโศกเป็นผู้จารึกไว้เพื่อแสดงเป็นหลักฐานให้ทราบว่าเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าได้แสดงพระสูตรดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ กัมมาสธัมมะนิคมเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในเดลีที่พุทธศาสนิกชนแวะไปสักการะกัมมาสธัมมะนิคมอยู่ในความดูแลของกองโบราณคดี กระทรวงวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ว่า สถานที่ดังกล่าวเป็นอนุสรณ์สถานที่มีความสำคัญในระดับชาติ ปัจจุบัน กองโบราณคดีได้สร้างรั้วเหล็กล้อมรอบกองหินไว้เพื่อเป็นการอนุรักษ์


เสื้อผ้าที่ควรเตรียมนำไปเที่ยว อินเดีย 
1. เสื้อผ้าสวมสบายๆ ซักง่าย ไม่ต้องรีด
2. นำเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการเดินทางโดยรถยนต์และที่ใส่สบายเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม
3. เสื้อผ้าสำหรับอากาศหนาว


เทศกาลสำคัญของประเทศ อินเดีย (India Festival)
เทศกาลคเณศจตุรถี : เทศกาลบูชาพระคเณศ (Lord Ganesh) เทพเจ้าแห่งปัญญาและการขจัดอุปสรรคทั้งปวง เริ่มต้นแล้ววันนี้ โดยเทศกาลนี้มีชื่อเรียกว่า คเณศจตุรถี (Ganesh Chaturthi) หรือที่เรียกกันทั่วไปในปูเณ่ว่า กันปาตี (Ganpati Festival) เพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระองค์ ในเดือนเดือนภาทรบท (Bhadrapada) ตามปฏิทินฮินดู ปกติชาวฮินดูจะสวดภาวนาต่อพระคเณศก่อนที่จะเริ่มกิจการงานสำคัญใดๆ ด้วยเชื่อกันว่าพระองค์จะบันดาลให้ความปรารถนานั้นสัมฤทธิ์ผลสมประสงค์
เทศกาลอาหารมุสลิมในวันออกศีลอด อีดิลฟิตรี (Eid-ul-Fitr) : อีดิลฟิตรี (Eid-ul-Fitr) ถือเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของชาวมุสลิม หลังสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือน ชาวมุสลิมจึงมีการเลี้ยงฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ภายในครอบครัว ญาติมิตร และเพื่อนฝูง บ้างก็พาครอบครัวออกมารับประทานอาหารนอกบ้าน มาเที่ยวและจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างสนุกสนานในวันหยุดวันนี้
เทศกาลกฤษณะจันมาสตามิ (Krishna Janmashtami) : หรือวันประสูติพระกฤษณะ ที่ปูเณ่เรียกเทศกาลนี้ว่า ดะฮี แฮนดี (Dahi Handi)” เมื่อวานนี้ เป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนาน มีสีสัน และลุ้นกันจนตัวโก่ง โดยเฉพาะในตอนกลางคืน ที่มีการเล่นต่อตัวกันขึ้นไปดึงหม้อแฮนดีที่แขวนไว้บนที่สูงลงมา และหม้อนี้มีแขวนไว้เป็นระยะระหว่างถนนสองฟาก ในตรอกซอกซอยต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณหน้าวัด ยิ่งถ้าเป็นวัดใหญ่ ก็จะมีการแข่งขันและเงินรางวัลให้สูง สำหรับทีมที่สามารถดึงหม้อแฮนดีที่แขวนไว้สูงมากลงมาได้โดยมีเงิน 1 แลกห์ หรือ 1 แสนรูปีจากนักการเมืองเป็นรางวัล ทีมที่ีชนะนี้ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างมากทีเดียว
เทศกาลรักษาบันดาล (Raksha Bandhan) : บ้างก็เรียกว่า ราคี (Rakhi) เป็นเทศกาลของชาวฮินดูที่เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายกับน้องสาว ในวันเพ็ญแห่งเดือนศรวณะ (Shravana) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 24 สิงหาคม วันนี้จึงถือว่าเป็นวันสำคัญที่เฉลิมฉลองกันทั่วอินเดีย เพื่อแสดงออกถึงความรักความผูกพันระหว่างพี่ชายและน้องสาว


สิ่งที่ควรทำใน อินเดีย 
1. การเก็บใบเสร็จทุกใบไว้ เมื่อซื้อของหรือรับบริการต่างๆควรขอใบเสร็จด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพงค่ะ 
2. เช็คชื่อร้านค้าที่แนะนำจากการท่องเที่ยว โดยสอบถามจากการท่องเที่ยวเมืองนั้นๆ 
3. บอกคนขับแท็กซี่ให้เปิดมิเตอร์โดยสารเสมอ 
4. อย่าสวมรองเท้าเข้าในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บางที่ไม่ให้นำสิ่งของที่เป็นหนังเข้าไปด้วย เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับศาสนามาก คุณควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ 

สิ่งที่คุณไม่ควรทำใน อินเดีย
1. อย่าแลกเงินตามร้านแลกเงิน 
2. อย่าซื้อตั๋วผ่านคนแปลกหน้าหรือบริษัททัวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาติ 
3. อย่าให้เงินหรือของแก่ขอทาน เพราะพวกเขาจะตามติดคุณ 


การขออนุญาติ เข้าชม ดูงานที่ประเทศ อินเดีย
การขออนุญาติ เข้าชม ดูงานที่ประเทศ อิ ควรมีการติดต่อประสานงาน โดยมีเอกสารระบุชัดเจน จุดประสงค์การดูงาน วัน เวลา จำนวนผู้เข้าดูงาน ล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือน


คำศัพท์น่ารู้ สนทนาภาษาฮินดี อินเดีย (India Vocabulary)
ประเทศอินเดียมีภาษาพูดที่แตกต่างกันมากมาย ในกลุ่มคนต่าง ๆ กัน มีภาษาอย่างน้อย 30 ภาษา รวมถึงภาษาย่อยอีก 2,000 ภาษาด้วย รัฐธรรมนูญอินเดียได้กำหนดให้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ เป็นสองภาษาที่ใช้ในการติดต่อกับรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ยังได้กำหนดภาษาอื่น 22 ภาษาเป็น ภาษากำหนด (scheduled languages) ซึ่งเป็นภาษาที่รัฐต่าง ๆ สามารถนำไปใช้สำหรับการปกครองได้ รวมถึงเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาล
ประเทศอินเดียนับได้ว่ามีภาษาพูดมากที่สุดประเทศก็ว่าได้ ผมไปอินเดียทุกครั้งผมจะต้องไปเรียนภาษาฮินดีกับเจ้าของภาษาของเขา ที่นี้ผมก็จะเอาฝึกสอนท่านเรียนดูบ้างเพื่อท่านมีโอกาสได้ไปประเทศอินเดีย แล้วใชู้พูดกับเจ้าของภาษาเขานะครับ คำง่ายๆที่สำคัญ

ภาษาฮินดี เพื่อการทักทาย ในอินเดีย

Namaste / Namaskar  นมัสเต / นมัสการ   สวัสดีครับ/ค่ะ
Ap kaise haim   อาป แกเส แฮ  ท่านสบายดีไหมครับ/คะ
Maim thik hum dhayavad แม ถีก ฮู ธันยะวาด สบายดีครับ/ค่ะ ขอบคุณ
Apka subhanam kya hai  อาปกา ศุภนาม กยา แฮ ท่านชื่ออะไรครับ/คะ
Mera nam......................hai เมรา นาม ........................แฮ ผม/ดิฉัน ชื่อ...............................
Ap kya kam karte(ti) haim  อาป กยา กาม กะรเต(ตี) แฮ ท่านทำงานอะไร
Maim turist/paryatak hum แม ฏูริสฏ /ปะรยะฏัก ฮู ผม/ดิฉัน เป็นนักท่องเที่ยวครับ/ค่ะ
Ap kaham se aye (ayi) haim   อาป กะหา เส อาเย(อายี) แฮ ท่านมาจากไหนครับ/คะ
Maim Thailand se aya (ayi) hum แม ถาอีแลน เส อายา (อายี) ฮู ผม/ดิฉัน มาจากเมืองไทยครับ/ค่ะ
Ap kitni bar bharat aye (ayi) haim  อาป กิตนี บาร ภารัต อาเย (อายี) แฮ ท่านเคยมาอินเดียกี่ครั้งแล้วครับ/คะ
Maim bharat kabhi nahim aya (ayi) hum แม ภารัต กะภี นะฮี อายา (อายี) ฮู ผม/ดิฉัน ไม่เคยมาอินเดียเลยครับ/ค่ะ


ภาษาฮินดี เพื่อการเดินทาง ในอินเดีย

Taiksi   แท๊กซี่ แท๊กซี่
Bhogal market kya loge  โภคัล มาร์เกต กะยา โลเค ไปตลาดโภคัล คิดราคาเท่าไหร่
Mitar cala do  มีฏัร จะลา โด  ขอให้ใช้มิเตอร์
Sidhe     สีเธ  ตรงไป
Age  อาเค  ข้างหน้า
Daem     ดาเอ  ข้างขวา
Baem  บาเอ ข้างซ้าย
Mujhe yaham chor do  มุเฌ ยะหา โฉร โด ให้ผม/ดิฉัน ลงที่นี่แหละครับ/ค่ะ
Bhai sahab bas adda kis taraf hai  ภาอี สาฮับ บัส อัฏฏา กิส ตะรัฟ แฮ  คุณครับ/คะ สถานีรถบัสอยู่ทางไหนครับ/คะ
Yaham se kitne dur hai      ยหา เส กิตนี ดูร แฮ  ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ครับ/คะ
Vaham kaise jate haim     วหา แกเส ชาเต แฮ  จะไปอย่างไรครับ/คะ

หนังสือเดินทางไทย
หนังสือเดินทางมีอายุที่ใช้งานมากกว่า 6 เดือน สามารถดูรายละเอียดการทำหนังสือเดินทางได้ที่ รายละเอียดการทำหนังสือเดินทาง 

เอกสารในการทํา วีซ่าอินเดีย  
เนื่องจากอินเดียเพิ่งเปลี่ยนแบบฟอร์มการขอวีซ่าใหม่ตั้งแต่ 2 เม.ย. 55 เป็นต้น ไป จําเป็นต้องขอข้อมูลเพิ่มมากขึ้น 
1.. หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 
2. ***สำคัญมาก***รูปถ่ายหน้าตรงรูปสี (ที่ไม่ใช่รูปถ่ายเล่นพื้นหลังสีขาวเท่านั้น) ขนาด 2x2 นิ้วเท่านั้น  จำนวน 4 ใบ ต้องเห็นใบหน้าชัดเจนและห้ามยิ้มเห็นฟันและต้องไม่ใช่สติ๊กเกอร์หรือรูปพริ้นซ์จากคอมพิวเตอร์ 
(รูปใหม่ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) ถ้าไม่ถูกต้องไม่ต้องแนบมานะคะหากท่านไม่ได้รับการพิจารณาวีซ่าเนื่องจากรูปถ่ายไม่ได้ขนาดตามที่สถานทูตกำหนดท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากราคาทัวร์

** เอกสารที่เป็นสำเนา กรุณาเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้องทุกใบด้วย **
3. สําเนาบัตรประชาชน   
4. สําเนาทะเบียนบ้าน (พร้อมเขียนที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ) 
5. แจ้งที่อยู่ปัจจุบันที่สามารถติดต่อได้ พร้อมระบุรหัสไปรษณีย์และหมายเลขโทรศัพท์บ้านหรือมือถือ 
6. ***สําคัญมาก*** กรุณาระบุอาชีพ เช่น
- ถ้าเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ให้ระบุตําแหน่ง,ชื่อ/ที่อยู่/เบอร์โทรศัพท์ของบริษัทฯที่ทํางานเป็นภาษาอังกฤษ  
- ถ้าเกษียณราชการแล้ว ให้ระบุชื่อหน่วยงานที่เคยสังกัด พร้อมที่อยู่ รหัสไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์
หมายเหตุ : การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง จะเป็นผลดีกับผู้สมัครขอวีซ่าเอง ทางบริษัทฯจําเป็นต้องขอข้อมูลมากมายและยุ่งยากข้างต้นเพื่อทําให้วีซ่าอนุมัติโดยง่ายและไม่เสียเวลา หรือเสี่ยงที่วีซ่าจะไม่อนุมัติค่ะ 

ข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับวีซ่าอินเดีย
** การอนุมัติวีซ่าเป็นอภิสิทธิ์ของทางสถานฑูต ทางบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้บริษัทเป็นเพียงตัวกลางและคอยบริการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางเท่านั้น เงินค่าสมัครยื่นวีซ่า ทางสถานทูตเป็นผู้เก็บ หากผลวีซ่าออกมาว่าท่านไม่ผ่าน ทางสถานทูตจะไม่คืนเงินค่าวีซ่าและค่าบริการจากตัวแทนยื่นไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม และทางสถานทูตมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบเหตุผลของการปฏิเสธวีซ่าในทุกกรณี
** กรณีที่ท่านวีซ่าผ่าน แต่กรุ๊ปออกเดินทางไม่ได้ เนื่องจากผู้เดินทางท่านอื่นในกลุ่มโดนปฏิเสธวีซ่า ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่คืนเงินค่าวีซ่าและค่าบริการจากตัวแทนอื่นให้กับท่าน เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยสถานทูตเป็นผู้เรียกเก็บ และท่านสามารถนำวีซ่าไปใช้เดินทางได้ หากวีซ่ายังไม่หมดอายุ

ข้อความซึ่งถือเป็นสาระสำหรับท่านผู้มีเกียรติซึ่งร่วมเดินทาง ทัวร์อินเดีย
ทางบริษัทฯ เป็นตัวแทนในการจัดนำสัมมนา และการเดินทางที่มีความชำนาญ โดยจัดหาโรงแรมที่พัก อาหาร ยานพาหนะ และสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมทั้งการสัมมนา ดูงาน เพื่อความสะดวกสบาย และเกิดประโยชน์สูงสุดในการเดินทาง  ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ไม่สามารถรับผิดชอบในอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่เกิดจากโรงแรมที่พัก ยานพาหนะ,  อันเนื่องจากอุบัติเหตุรวมถึงภัยธรรมชาติ, โจรกรรม, วินาศกรรม, อัคคีภัย, การผละงาน, การจลาจล, สงครามการเมือง, การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ, การนัดหยุดงาน, ความล่าช้าของเที่ยวบิน, สายการเดินเรือ, รถไฟ, พาหนะท้องถิ่น,  ตลอดจนการถูกปฏิเสธออกวีซ่าจากกงสุล และ / หรือ ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับสถานเอกอัครราชทูต รวมถึงผู้มีอำนาจทำการแทนประจำประเทศไทย (โดยไม่จำต้องแสดงเหตุผล เนื่องจากเป็นสิทธิพิเศษทางการทูต) ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของบริษัทฯ หมายรวมถึงในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวทั้งใน หรือ ต่างประเทศ แต่ทางบริษัทฯ มีความคุ้มครอง และประกันอุบัติเหตุ ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ ที่รับประกันในกรณีที่ผู้ร่วมเดินทางถูกปฏิเสธโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย และ/หรือ ต่างประเทศ มิให้เดินทางออก หรือ เข้าประเทศ เนื่องมาจากความประพฤติ พฤติกรรมของผู้เดินทาง ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการความคุมโรคติดต่อเฉพาะพื้นที่มีการปลอมแปลงเอกสารเพื่อการเดินทาง รวมถึงมีสิ่งผิดกฎหมาย บริษัทฯ จะไม่คืนค่าใช้จ่ายใดๆ รายละเอียดด้านการเดินทาง อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความจำเป็น หรือเพื่อความเหมาะสมทั้งปวง โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โปรแกรมและรายละเอียดของการเดินทางอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะอากาศ และเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าโดยทางบริษัทฯ จะคำนึงถึงผลประโยชน์และความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทางเป็นสำคัญ

ตรวจคนเข้าเมืองและด่านศุลกากรประเทศ อินเดีย
ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการจะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา หากพำนักอยู่ในประเทศอินเดียไม่เกิน 90 วัน หนังสือเดินทางปกติจำเป็นต้องทำการขอตรวจลงตราผ่านสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ดังนี้
* Tourist Visa สำหรับนักท่องเที่ยว ปกติจะมีอายุ 6 เดือน สามารถใช้เดินทางเข้าประเทศอินเดียได้ 2 ครั้ง ค่าธรรมเนียม 1,700 บาท
* Business Visa สำหรับนักธุรกิจ มีอายุตามระยะเวลาที่ระบุในสัญญาธุรกิจ ค่าธรรมเนียม 8,200 บาท
* Student Visa สำหรับนักเรียน-นักศึกษา มีอายุตามระยะเวลาของหลักสูตรการศึกษา สามารถใช้เดินทางเข้าประเทศอินเดียได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง ค่าธรรมเนียม 3,100 บาท
* Employment Visa สำหรับลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท มีอายุ 6 เดือนหรือ 1 ปี ค่าธรรมเนียม 6,600 บาทสำหรับอายุ 6 เดือน และ 8,200 บาทสำหรับอายุ 1 ปี
* สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารและวิธีการขอตรวจลงตรา สามารถดูได้จาก www.ivac-th.com/index.html
* ผู้ที่จะพำนักในประเทศอินเดียเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ต้องไปรายงานตัวภายใน 14 วัน ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (Foreigners Regional Registration Office: FRRO) ซึ่งมีอยู่ประจำเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศอินเดีย เพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตพำนักในประเทศอินเดีย ซึ่งต้องต่ออายุทุกปี และควรยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตประมาณ 15 วันก่อนวันหมดอายุ
* ไม่ควรพำนักอาศัยในอินเดียเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้ในตรวจลงตรา เพราะจะโดนปรับเป็นจำนวนเงินที่สูง และมีขั้นตอนการดำเนินการยุ่งยาก


พุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบล สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
พุทธสังเวชนียสถาน (อ่านว่า สัง-เว-ชะ-นี-ยะ-สะ-ถาน) แปลว่า สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช เป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ หมายถึง สถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่ควรไปเคารพสักการะ ควรไปแสวงบุญ เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ อันจักนำมาซึ่งบุญกุศลและความปลาบปลื้มแช่มชื่นใจ 
สังเวชนียสถาน 4 แห่งนี้ ท่านว่าเป็นสถานที่ควรไปเคารพสักการะ ควรไปแสวงบุญ เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ อันจักนำมาซึ่งบุญกุศล และความปลาบปลื้มแช่มชื่นใจ 

สังเวชนียสถาน มี 4 แห่ง คือ 
1. ลุมพินีวัน : สถานที่ประสูติ 
2. พุทธคยา : สถานที่ตรัสรู้ 
3. สารนาถ : สถานที่แสดงปฐมเทศนา 
4. กุสินารา : สถานที่ปรินิพพาน 

 india Place 1  india Place 2  india Place 3

ลุมพินีวัน : สถานที่ประสูติ

ลุมพินีวัน (อังกฤษ: Lumbini) เป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 1 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศอินเดีย ลุมพินีวัน เดิมเป็นสวนป่าสาธารณะ หรือวโนทยานที่ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อน ในสมัยพุทธกาล ลุมพินีวันตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมือง กบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ในแคว้นสักกะ บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างเสาหินขนาดใหญ่ มาปักไว้ตรงบริเวณที่ประสูติ เรียกว่า เสาอโศก ที่จารึกข้อความเป็นอักษรพราหมีว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่ตรงนี้ ปัจจุบันลุมพินีวันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนประเทศอินเดียทางเหนือเมืองโคราฆปุระ ห่างจากสิทธารถนคร (หรือ นครเทวทหะ) ทางทิศตะวันตกประมาณ 22 กิโลเมตร และห่างจากเมืองติเลาราโกต (หรือ นครกบิลพัสดุ์) ทางทิศตะวันออก 22 กิโลเมตร ซึ่งถูกต้องตามตำราพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่า ลุมพินีวันสถานที่ประสูติ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะ ปัจจุบัน ลุมพินีวันมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ ทางการเรียกสถานที่นี้ว่า รุมมินเด มีสภาพเป็นชนบท มีผู้อาศัยอยู่ไม่มาก มีสิ่งปลูกสร้างเป็นพุทธสถานเพียงเล็กน้อย แต่มีวัดพุทธอยู่ในบริเวณนี้หลายวัด รวมทั้งวัดไทยลุมพินี ลุมพินีวันได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540

ลุมพินีวัน : สมัยพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาล ลุมพินีวันอยู่ในเขตแห่งดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีป ตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของพระเจ้าสุทโธทนะ และกรุงเทวทหะ เมืองหลวงของพระเจ้าชนาธิป เป็นพระราชอุทยานลาดลุ่มร่มรื่น กึ่งกลางระหว่างทางสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ของกษัตริย์และประชาชน สภาพของลุมพินีวันในสมัยนั้น อาจจะพิจารณาได้จากคัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน ได้พรรณนาเป็นภาษาบาลีไว้ว่า"ทวินฺนํ ปน นครานํ อนฺตเร อุภยนครวาสีนมฺปิ ลุมพินีวนํ นาม มงฺคลสาลวนํ อตฺถิ, ตสฺมึ สมเย มูลโต ปฏฺฐาย ยาว อคฺคสาขา สพฺพํ เอกปาลิผุลฺลํ อโหสิ สาขนฺตเรหิ เจว ปุปฺผนฺตเรหิ จ ปญฺจวณฺณา ภมรคณา นานปฺปการา จ สกุณสงฺฆา มธุรสฺสเรน วิกูชนฺตา สกลํ ลุมฺพินีวนํ จิตฺตลตาวนสทิสํ ฯเปฯ" แปลว่า: "ในระหว่างเมืองทั้งสอง มีป่าสาละชื่อลุมพินีวันอันเป็นมงคล สมัยนั้นสาละทั้งหมดล้วนมีดอกออกสะพรั่งเป็นแนวเดียวกัน แต่รากจนสุดปลายกิ่ง ตามกิ่งก้านสาขาและดอกนั้นล้วนมีหมู่ภมรนานาชนิด และหมู่นกหลากหลายชนิดส่งเสียงกู่ร้องประสานสำเนียง ดังทั่วทั้งป่า ลุมพินีวันนั้นจึงประดุจเช่นเดียวกับสวนจิตรลดา (อันมีในดาวดึงสเทวโลก) ฉะนั้น ฯลฯ" - วิสุทฺธชนวิลาสินี ๑, หน้า ๖๔ หลังจากการประสูติของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานอื่นว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมา ณ ที่แห่งนี้แต่อย่างใด แม้พระพุทธเจ้าจะได้เสด็จมา ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ก็ประทับที่นิโครธารามที่พระประยูรญาติจัดถวาย หาได้มาประทับหรือแสดงธรรม ณ ลุมพินีวันอีกไม่ เนื่องเพราะลุมพินีวันนั้นเป็นอุทยานไม่มีผู้คนอาศัยนั่นเอง 

ลุมพินีวัน : หลังพุทธปรินิพพาน
หลังพุทธปรินิพาน กษัตริย์ซึ่งได้รับส่วนแบ่งแห่งพระบรมสารีริกธาตุ ได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ในสถูปแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากลุมพินีวันนัก จวบจนพุทธศักราชได้ 294 ปี พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จนมัสการพุทธสังเวชนียสถานทั่วทั้งชมพูทวีป พร้อมด้วยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ (หรือพระอุปคุต) ได้เสด็จมานมัสการ ณ ลุมพินีนี้ พระองค์โปรดฯ ให้พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ นำทางและชี้จุดที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ แล้วทรงสร้างอาราม พระเจดีย์และเสาศิลาจารึกไว้เป็นสัญลักษณ์ว่า ลุมพินีวันนี้มีความสำคัญอย่างไร ซึ่งเสาศิลาหินทรายของพระเจ้าอโศกยังคงตั้งอยู่ ณ ที่เดิมจนถึงปัจจุบันหลังจากยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช เรื่องราวของลุมพินีวันได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาเกือบ 700 ปี โดยไม่ปรากฏหลักฐานเอกสาร ที่สามารถสืบค้น ถึงความเป็นไปของลุมพินีวันในช่วงนี้ได้ จนในประมาณ พ.ศ. 900 สมณะฟาเหียนได้เดินทางจากประเทศจีนมาถึงลุมพินีวัน ท่านได้กล่าวไว้สั้น ๆ เพียงว่าได้พบบ่อสรงสนาน และระบุที่ตั้งของลุมพินีวันว่า อยู่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 14-16 กิโลเมตรต่อมา ในปี พ.ศ. 1181 สมณะเฮี้ยนจัง หรือ พระถังซำจั๋ง ได้เดินทางมาถึงลุมพินีวัน โดยได้ทำการการจดบันทึกระบุที่ตั้งสถานที่ต่าง ๆ ในลุมพินีวันไว้คร่าว ๆ ท่านได้กล่าวถึงบ่อสรงสนาน ซึ่งคงเป็นบ่อเดียวกับ ที่สมณะฟาเหียนกล่าวไว้ในบันทึก ซึ่งบ่อนี้ยังคงมีอยู่มาจนปัจจุบัน และกล่าวว่าไม่ไกลจากบ่อนั้นไปประมาณ 24 ก้าว มีต้นสาละต้นหนึ่ง เชื่อกันว่า เป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ จากจุดนั้นไปทางใต้มีเจดีย์องค์หนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระอินทร์เสด็จจากสวรรค์ ลงมาต้อนรับพระราชโอรสที่ประสูติใหม่ ใกล้ ๆ กันมีเจดีย์อีกสี่องค์ ที่สร้างไว้เพื่อถวายแก่ท้าวจตุโลกบาล ที่ทำหน้าที่ถวายอภิบาลพระโอรสประสูติใหม่ และใกล้กันนั้นมีเสาอโศกรูปสิงห์ประดิษฐานอยู่บนยอด
จวบจน พ.ศ. 2438-2439 เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮมและคณะ ได้ค้นพบเสาศิลาพระเจ้าอโศก ซึ่งถูกฝังดินไว้และพบจารึกเป็นอักษรพราหมีระบุว่า ที่แห่งนี้คือ สถานที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ จากนั้นจึงเริ่มมีการขุดค้นทางโบราณคดี โดยพบซากปรักหักพังจำนวนมาก ซากสถูปกว่า 50 องค์ และซากวิหารอาราม มีอายุตั้งแต่สมัยราชวงศ์โมริยะ ราชวงศ์ศุงคะ ราชวงศ์กุษาณะ และสมัยคุปตะ (ประมาณ พ.ศ. 300 - พ.ศ. 950)

ลุมพินีวัน : ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน ลุมพินีวันได้รับการบูรณะและมีถาวรวัตถุสำคัญที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะ คือ "เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช" ที่ระบุว่าสถานที่นี้ เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ นอกจากนี้ ยังมี "วิหารมายาเทวี" ภายในประดิษฐานภาพหินแกะสลักพระรูปพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรส โดยเป็นวิหารเก่า มีอายุร่วมสมัยกับเสาหินพระเจ้าอโศก ปัจจุบัน ทางการเนปาลได้สร้างวิหารใหม่ทับวิหารมายาเทวีหลังเก่า และได้ขุดค้นพบศิลาจารึกรูปคล้ายรอยเท้า สันนิษฐานว่า เป็นจารึกรอยเท้า ก้าวที่เจ็ดของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ทรงดำเนินได้เจ็ดก้าวในวันประสูติ ในปี พ.ศ. 2540 ลุมพินีวันได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ "ลุมพินี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า" 


 india Place 4  india Place 5  india Place 6

พุทธคยา : สถานที่ตรัสรู้
พุทธคยา (บาลี: พุทฺธคยา, อังกฤษ: Bodh Gaya) คือคำเรียกกลุ่มพุทธสถานสำคัญใน อำเภอคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่ง ของชาวพุทธ เนื่องจากเป็นที่ตั้ง ของสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธสังเวชนียสถาน ที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก ปัจจุบันบริเวณพุทธศาสนสถาน อันเป็นที่ตั้ง ของสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดมหาโพธิ อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการร่วม พุทธ-ฮินดู
พุทธคยา ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์) พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญ คือ องค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยา ยังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา
สำหรับชาวพุทธ พุทธคยา นับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุด ของนักแสวงบุญชาวพุทธทั่วโลก ที่ต้องการมาสักการะสังเวชนียสถานสำคัญ 1 ใน 4 แห่งของพระพุทธศาสนา โดยในปี พ.ศ. 2545 วัดมหาโพธิ (พุทธคยา) สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ขององค์การยูเนสโก

พุทธคยา : สมัยพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาล พุทธคยา อยู่ในดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีป ตั้งอยู่ในหมู่บ้านนิคมชื่อว่าอุรุเวลา ในแคว้นมคธ เป็นสถานที่ ๆ ร่มรื่นเป็นรมณียสถาน สะดวกด้วยโคจรคาม เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต สภาพของพุทธคยาในสมัยพุทธกาล อาจจะพิจารณาได้จากพุทธพจน์ในพระไตรปิฏก ที่ได้ทรงตรัสกับโพธิราชกุมาร ในโพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ซึ่งพระพุทธองค์ ได้ทรงพรรณาถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคมไว้ว่าราชกุมาร! เรานั้นเมื่อหลีกไปจากสำนักอุทกผู้รามบุตรแล้ว แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐฝ่ายสันติ อันไม่มีอื่นยิ่งกว่า, เที่ยวจาริกไปตามลำดับหลายตำบลในมคธรัฐ จนบรรลุถึงตำบล อุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ ณ ตำบลนั้น. ณ ที่นั้น เราได้พบภาคพื้นรมณียสถาน มีชัฏป่าเยือกเย็น แม่น้ำใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ มีบ้านสำหรับโคจร ตั้งอยู่โดยรอบ. ราชกุมาร! เราได้เห็นแล้ว เกิดความรู้สึกว่า "ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริง ชัฏป่าเย็นเยือก แม่น้ำไหลใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ ทั้งที่โคจรก็ตั้งอยู่โดยรอบ, ที่นี้สมควรเพื่อจะตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการด้วยความเพียร" ดังนี้. ราชกุมาร! เรานั่งพักอยู่ ณ ตำบลนั้นเอง ด้วยคิดว่าที่นี้สมควรแล้วเพื่อการตั้งความเพียร ดังนี้. สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. โพธิราชกุมารสุตฺตํ ราชวคฺค ม. ม. ๑๓/๔๔๘/๔๙๑ เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้ประทับอยู่ ณ พุทธคยา เพื่อเสวยวิมุตติสุข (ความสุขอันเกิดจากความหลุดพ้น) อยู่ 7 สัปดาห์ และเกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ณ โพธิมณฑลแห่งนี้ภายในเวลา 7 สัปดาห์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงเรื่องราวของตปุสสะ และภัลลิกะ 2 พ่อค้า ที่เดินทางผ่านมาเห็นพระพุทธองค์ มีพระวรกายผ่องใส จึงเข้ามาถวายข้าวสัตตุผล และสัตตุก้อน แล้วแสดงตน เป็นทวิวาจกอุบาสก ผู้ถึงพระพุทธ และพระธรรมเป็นสรณะคู่แรกของโลก และพระพุทธองค์ได้ทรงประทานพระเกศาแก่พ่อค้าทั้งคู่ เป็นที่ระลึกในพุทธานุสสติด้วย พุทธคยาในสมัยพุทธกาล หลังจากการตรัสรู้ และเสวยวิมุตติสุขของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จมา ณ ที่แห่งนี้แต่อย่างใด มีกล่าวถึงในอรรถกถา แต่เมื่อคราวพระอานนท์ ได้มา ณ พุทธคยา เพื่อนำเมล็ดพันธ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้กลับไปปลูก ณ วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ตามความต้องการของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งปรารถนาให้มีสิ่งเตือนใจ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่อื่น ต่อมาต้นโพธิ์ต้นที่อยู่ ณ วัดพระเชตวันจึงได้ชื่อว่าอานันทโพธิ์ และยังคงยืนต้นมาจนถึงปัจจุบัน

พุทธคยา : หลังพุทธปรินิพพาน
บริเวณกลุ่มพุทธสถานพุทธคยา อันเป็นอนุสรณียสถานระลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธองค์นั้น เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พระเจ้าอโศกมหาราช และสร้างต่อเติมเรื่อยมา โดยกษัตริย์ชาวพุทธในอินเดีย พระองค์ต่อ ๆ มา จนกระทั่ง เมื่อกองทัพมุสลิม บุกเข้ามาโจมตีอินเดีย พุทธคยาจึงถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีผู้คอยเฝ้าดูแล

ต้นพระศรีมหาโพธิ์
สำหรับความเป็นไปของต้นพระศรีมหาโพธิ์ตรัสรู้นั้น ต้นแรกเป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า (เกิดในวันเดียวกับวันที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ) มีอายุมาได้ 352 ปี จนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงถูกทำลายโดยพระชายาของพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะความอิจฉา ที่พระเจ้าอโศกรักและหวงแหนต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้จนไม่สนใจพระนาง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สองนั้น ปลูกโดยพระเจ้าอโศกมหาราช จากหน่อพระศรีมหาโพธิ์ต้นเดิม และมีอายุยืนมาประมาณ 871-891 ปี จนถูกทำลายในประมาณปี พ.ศ. 1143-1163 ด้วยน้ำมือของพระราชาฮินดู แห่งเบงกอล พระนามว่า ศศางกา ซึ่งพระองค์อิจฉาพระพุทธศาสนาที่มีความรุ่งเรืองมาก จึงทรงแอบนำกองทัพเข้ามาทำลายต้นโพธิ์ต้นนี้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สามนั้น ปลูกโดยพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เมารยะ และต้นที่สามนี้มีอายุยืนมากว่า 1,258-1,278 ปี จึงล้มลงในสมัยที่อินเดีย เป็นอาณานิคมของอังกฤษ และต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สี่ ที่ยังคงยืนต้นมาจนปัจจุบัน ปลูกโดยนายพลเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม เมื่อ พ.ศ. 2423 สำหรับความเป็นไปขององค์พระมหาโพธิเจดีย์นั้น พระเจ้าหุวิชกะ (อังกฤษ: Huvishka) มีพระราชศรัทธาสร้างมหาเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ในปี พ.ศ. 694 เพื่อเป็นสถานที่สักการะสำหรับพุทธบริษัท โดยได้สร้างเป็นพระเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมทรงรีสวยงาม ติดกับพระแท่นวัชรอาสน์ ทางทิศตะวันออก มี 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นสถานที่กราบนมัสการ และชั้นบนเป็นห้องเจริญภาวนา ลักษณะของพระมหาโพธิเจดีย์มีเอกลักษณ์เฉพาะ และตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของมหาโพธิมณฑล มากว่าสองพันปี ในบางช่วงพระราชาแห่งแคว้นต่าง ๆ ได้เข้ามาทำนุบำรุงอยู่เสมอ และได้รับการบูชารักษาจากชาวพุทธมาตลอด แต่มาขาดตอนไปเมื่อช่วงพันกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากแผ่นดินอินเดียแถบนี้ ถูกคุกคามจากสงคราม และการเสื่อมถอยของพระพุทธศาสนา พุทธคยาจึงถูกปล่อยทิ้งร้าง และถูกชาวฮินดูเข้าครอบครอง รวมทั้ง แปลงมหาโพธิเจดีย์เป็นเทวสถาน โดยเหตุการณ์ที่พุทธคยา ถูกชาวฮินดูครอบครองนั้น เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2133 จากการที่นักบวชฮินดูชื่อ โคเสนฆมัณฑิคีร์ ได้เดินทางมาถึงพุทธคยา และได้ตั้งสำนักเล็ก ๆ ใกล้กับพระมหาโพธิเจดีย์ เมื่ออยู่ไปนาน ๆ จึงกลายเป็นเจ้าของที่ไปโดยปริยาย (มีผู้กล่าวว่า พราหมณ์มหันต์นี้ คือ นักธุรกิจการค้า ที่มาในรูปนักบวชฮินดู กล่าวกันว่าติดอันดับมหาเศรษฐี 1 ใน 5 ของรัฐพิหาร ผู้นำของมหันต์องค์ที่ 15 ในปัจจุบันก็มีการสืบทอดมาตั้งแต่โคเสณฆมัณฑิคีร์) ซึ่งการที่พราหมณ์มหันต์เข้ามาครอบครองพุทธคยานั้น ก็ไม่ได้ดูแลพุทธคยาแต่อย่างไร 

พุทธคยา : ในปัจจุบัน
พุทธคยาในปัจจุบัน เป็นพื้นที่อยู่ต่ำกว่าพื้นปกติ เหมือนหลุมขนาดใหญ่ เนื่องจากผ่านระยะเวลากว่าสองพันปี ดินและตะกอนจากแม่น้ำ ได้ทับถมจนพื้นที่ ในบริเวณนี้สูงขึ้นกว่าในสมัยพุทธกาลหลายเมตร ทำให้ในปัจจุบันผู้ไปนมัสการสังเวชนียสถานแห่งนี้ ต้องเดินลงบันได กว่าหลายสิบขั้น เพื่อถึงระดับพื้นดินเดิมที่เป็นฐานที่ตั้งพุทธสถานโบราณ 
ปัจจุบันพุทธคยา ได้รับการบูรณะและมีถาวรวัตถุที่สำคัญ ๆ ที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะคือ พระมหาโพธิเจดีย์ อนุสรณ์สถานแห่งการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นเจดีย์ 4 เหลี่ยม สูง 170 ฟุต วัดโดยรอบฐานได้ 121.29 เมตร ภายในประดิษฐาน พระพุทธเมตตา พระพุทธรูปที่รอดจากการถูกทำลาย จากพระเจ้าศศางกา พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัยแบบศิลปะปาละ เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธทั่วโลก พระแท่นวัชรอาสน์ แปลว่าพระแท่นมหาบุรุษใจเพชร สร้างด้วยวัสดุหินทรายเป็นรูปหัวเพชรสี่เหลี่ยม กว้าง 4.10 นิ้ว 7.6 นิ้ว หนา 5 นิ้วครึ่ง ประดิษฐานอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นพระแท่นจำลองขึ้นทับพระแท่นเดิมเพื่อเป็นหลักฐานยืนยังว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ณ จุดนี้ ปัจจุบัน ประชาชนและรัฐบาล ประเทศศรีลังกาได้อุทิศสร้างกำแพงแก้ว ทำด้วยทองคำแท้ ประดิษฐานรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระแท่นวัชรอาสน์ และนอกจากนี้ บริเวณพุทธคยา และโดยรอบยังมีสถานที่สำคัญมากมาย เช่น กลุ่มพระเจดีย์เสวยวิมุตติสุข สระมุจลินทร์ บ้านนางสุชาดา ถ้ำดงคสิริ (สถานที่เจ้าชายสิทธัตถะบำเพ็ญทุกกรกิริยา) วัดพุทธนานาชาติ เป็นต้น ต่อมา ชาวพุทธทั่วโลกจึงได้ร่วมเสนอขอให้พุทธคยาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จนในที่สุด ในปี พ.ศ. 2545 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก จึงได้พิจารณาให้พุทธคยาเป็นมรดกโลก 


 india Place 7  india Place 8  india Place 9

สารนาถ : สถานที่แสดงปฐมเทศนา
สารนาถ (อังกฤษ: Sarnath) จัดเป็นพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 ตั้งอยู่ 9 กิโลเมตรเศษ ทางเหนือของเมืองพาราณสี (เมืองศูนย์กลางทางศาสนาของศาสนาฮินดู) ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)

สารนาถ : สมัยพุทธกาล
สารนาถในสมัยพุทธกาล เรียกกันว่า ป่าอิสิปตนมฤคทาย แปลว่า ป่าอันยกให้แก่หมู่กวาง และเป็นที่ชุมนุมฤๅษี เป็นสถานที่สงบ และเป็นที่ชุมนุมของเหล่าฤษีและนักพรตต่าง ๆ ที่มาบำเพ็ญตบะและโยคะเพื่อเข้าถึงพรหมัน (ตามความเชื่อ ในคัมภีร์อุปนิษัทของพรามหณ์) ทำให้เหล่าปัจจวัคคีย์ ที่ปลีกตัวมาจากเจ้าชายสิทธัตถะ (ที่พระองค์หันมาเสวยอาหาร และถูกปัจจวัคคีย์ดูถูกว่าไม่มีทางตรัสรู้) มาบำเพ็ญตบะที่นี่ สถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา เกิดในบริเวณที่ตั้งของ กลุ่มพุทธสถานสารนาถ ภายในอาณาบริเวณ ของป่าอิสิปตนมฤคทายวัน 9 กิโลเมตรเศษ ทางเหนือของเมืองพาราณสี (เมืองศูนย์กลางทางศาสนาของศาสนาฮินดู) รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล) สารนาถ จัดเป็นพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 เหตุที่ได้ชื่อว่าสารนาถ เนื่องมาจากสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงเริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่พึ่ง แก่มหาชนทั้งหลาย (บ้างก็ว่ามาจากศัพท์ว่า สารงฺค+นารถ = ที่อยู่ของสัตว์จำพวกกวาง) ภายในอาณาบริเวณสารนาถมี ธรรมเมกขสถูป เป็นพุทธสถานขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด เนื่องจากสันนิษฐานว่า บริเวณที่ตั้งของธรรมเมกขสถูป เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ประกาศพระสัจจธรรมเป็นครั้งแรกที่นี่

สารนาถ : หลังพุทธปรินิพพาน
ประมาณ 300 กว่าปีต่อมาหลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กลุ่มสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมธรรมเทศนา และพระธรรมเทศนาอื่น ๆ แก่เบญจวัคคีย์ และหมู่คันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ในบริเวณป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้รับการบูรณะ และก่อสร้างศาสนสถานเพิ่มเติมครั้งใหญ่ เพื่อถวายเป็นอนุสรณียสถานแก่พระพุทธเจ้า และกลุ่มพุทธสถานเหล่านี้ ได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ในสมัยราชวงศ์คุปตะ (บันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาราว พ.ศ. 1300 ได้บันทึกไว้ว่า "มีพระอยู่ประจำ 1,500 รูป มีพระสถูปสูงประมาณ 100 เมตร มีเสาศิลาจารึกรูปหัวสิงห์ และสิ่งอัศจรรย์มากมาย ฯลฯ") และได้ถูกทิ้งร้างไปเมื่อกษัตริย์โมกุลเข้าปกครองอินเดีย จนท่านอนาคาริก ธรรมปาละ ชาวศรีลังกา ได้มาบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง และได้รับการบูรณะจากรัฐบาลอินเดียเรื่อยมา ทำให้สารนาถกลายเป็นจุดหมายปลายทาง ในการแสวงบุญที่สำคัญแห่งหนึ่ง ของชาวพุทธทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน 


 india Place 10  india Place 11  india Place 12

กุสินารา : สถานที่ปรินิพพาน
กุสินารา เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่ง ในสองของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมืองปาวา เป็นที่ตั้งของ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า กุสินารา จัดเป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 4 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ เป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่ตำบลมถากัวร์ อำเภอกุสินคร หรือกาเซีย หรือกาสยา (โรมัน:Kushinagar-Kasia-Kasaya) ในเขตจังหวัดเดวเย หรือ เทวริยา (โรมัน:Devria-Devriya-Kasia-Kasaya) รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สาลวโนทาย สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า มาถากุนวะระกาโกฏ (โรมัน:Matha-Kunwar-Ka-Kot) ซึ่งแปลว่า ตำบลเจ้าชายสิ้นชีพ ปรากฏตามคัมภีร์ว่า เมืองนี้เคยเป็นที่ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ เป็นที่เกิดบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์หลายครั้ง เคยเป็นราชธานีนามว่ากุสาวดี ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ์ ปัจจุบันกุสินารา มีอนุสรณ์สถานที่สำคัญ คือสถูปใหญ่ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วิหารปรินิพพานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพานอยู่ภายใน และมีซากศาสนสถานโบราณโดยรอบมากมาย

กุสินารา : สมัยพุทธกาล
มหาปรินิพพานวิหาร ภายในสาลวโนทยานในสมัยพุทธกาล เมืองกุสินาราอันเป็นที่ตั้งของสาลวโนทยานอยู่ในแคว้นมัลละ 1 ใน 16 แคว้น ซึ่งเป็นเขตการปกครองสมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้นแคว้นมัลละแยกเป็นสองส่วน คือ ฝ่ายเหนือมีเมืองกุสินาราเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า "โกสินารกา" และฝ่ายใต้มีเมืองปาวาเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า "ปาเวยยมัลลกะ" ทั้งสองเมืองนั้นตั้งอยู่ห่างกันเพียง 12 กิโลเมตร มีอำนาจในการบริหารแยกจากกัน โดยมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (สามัคคีธรรม) โดยมีแม่น้ำหิรัญญวดีคั่นตรงกลาง กุสินารานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับแคว้นอื่น ๆ ในสมัยพุทธกาล จัดว่าเป็นแคว้นเล็ก ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในด้านเศรษฐกิจ ดังที่พระอานนท์ได้ทูลทักท้วงพระพุทธองค์ที่ทรงเลือกเมืองกุสินาราเป็นสถานที่ปรินิพพานไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าเสด็จปรินิพพาน ในเมืองดอนในฐานะเมืองกิ่งนี้เลย เมืองอื่นอันมีขนาดใหญ่กว่านี้ยังมีอยู่คือ จัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี สาเกต โกสัมพี พาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์ผู้มีอำนาจ พราหมณ์ผู้มีบารมี เศรษฐีคหบดีผู้มั่งคั่ง ที่เลื่อมใสในพระองค์มีมากในเมืองเหล่านี้ ท่านผู้มีอำนาจเหล่านั้นจักได้กระทำการบูชาพระสรีระของตถาคต - พระอานนท์ สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ในพระราชอุทยานของเจ้ามัลละฝ่ายเหนือ แห่งกุสินารา ชื่อว่า "อุปวตฺตนสาลวนํ" หรือ อุปวัตตนะสาลวัน ซึ่งในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า สาลวโนทยาน แปลว่า สวนป่าไม้สาละ ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี เป็นป่าไม้สาละร่มรื่น ซึ่งหลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์แล้ว กษัตริย์แห่งมัลละ ก็ได้ประดิษฐานพระพุทธสรีระไว้ ณ เมืองกุสินาราเป็นเวลากว่า 7 วัน ก่อนที่จะประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ในวันที่ 8 แห่งพุทธปรินิพพาน การที่พระพุทธองค์ทรงเลือกเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กแห่งนี้เป็นสถานที่ปรินิพพาน มีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุสำคัญ คือ ทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระสรีระและพระบรมสารีริกธาต ุของพระองค์จักถูกแว่นแคว้นต่าง ๆ แย่งชิงไปทำการบูชา หากพระองค์ปรินิพพานในเมืองใหญ่ เมืองใหญ่เหล่านั้นอาจไม่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เมืองเล็ก ๆ เช่น เมืองกุสินารา เป็นต้น ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน เจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็ได้ยกกองทัพหลวงของตนมาล้อมเมืองกุสินาราเพื่อจะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ แต่ด้วยความที่กุสินาราเป็นเมืองเล็ก จึงต้องยอมระงับศึกโดยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกเมืองโดยไม่ต้องเกิดสงคราม 

กุสินารา : หลังพุทธปรินิพพาน
หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว เมืองกุสินารากลายเป็นเมืองสำคัญศูนย์กลาง แห่งการสักการะบูชาของพุทธศาสนิกชน เหล่ามัลลกษัตริย์ได้สร้างเจดีย์ และวิหารเป็นจำนวนมากไว้รอบ ๆ สถูปใหญ่คือ มหาปรินิพานสถูป อันเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มหาสถูปนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของปูชนียสถานอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมาภายหลังในบริเวณนั้น ต่อมาเมื่อแคว้นมัลละได้ตกอยู่ในความอารักขาขอแคว้นมคธ (ซึ่งในขณะนั้นมีเมืองปาตลีบุตรเป็นเมืองหลวง) สาลวโนทยานยังคงเป็นสถานที่สำคัญอยู่ แต่อยู่ในสภาพที่ไม่รุ่งเรืองนัก ดังในทิพยาวทาน ได้พรรณาไว้ว่า "พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมาจาริกแสวงบุญยังกุสินารา ประมาณ พ.ศ. 310 ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ 100,000 กหาปณะ เพื่อเป็นค่าสร้างสถูป เจดีย์ และเสาศิลา พระเจ้าอโศกเมื่อทรงทราบชัดว่า ณ จุดนี้เป็นสถานที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ถึงกับทรงสลดพระทัย โศกเศร้าถึงเป็นลมสิ้นสติสมปฤดี" หลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้พรรณาไว้ว่า "เมื่อมาถึงกุสินารา มีแต่เมืองที่ทรุดโทรม หมู่บ้านเป็นหย่อม ๆ ห่างกันไป โบสถ์ วิหาร และปูชนัยวัตถุ ปรักหักพังโดยมาก สังฆารามที่ควรเป็นที่อยู่อาศัยก็ไม่มีพระสงฆ์อาศัยอยู่ ได้เห็นศิลาจารึกพระเจ้าอโศก 2 หลัก ปักปรากฏอยู่ 2 แห่งในอุทยานสาลวัน จารึกนั้นบอกว่า ณ ที่นี้ เป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธองค์" บันทึกของพระถังซำจั๋ง (Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองกุสินาราราวปี พ.ศ. 1300 ได้พรรณาไว้ในจดหมายเหตุของท่านว่า จุนทสถูป บนที่ตั้งของบ้านนายจุนทะ อันเป็นสถานที่พระพุทธเจ้า เสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย ก่อนปรินิพพาน"...เมืองกุสินาราเต็มไปด้วยป้อมปราการ หอสูง และสังฆาราม อยู่ห่างจากเมืองเวสาลี 19 โยชน์ กุสินาราเป็นเมืองหลวงของมัลละกษัตริย์ อยู่ในสภาพปรักหักพัง มองเห็นตัวเมืองและหมู่บ้านเป็นสถานที่รกร้าง หาคนอยู่อาศัยมิได้ กำแพงเมืองเก่าที่ก่อไว้โดยอิฐ มองดูโดยรอบยาวประมาณ 1 ลี้ มีคนอาศัยอยู่ในกำแพงเมืองเก่าเพียงเล็กน้อย ตามถนนสายเล็ก ๆ ของเมืองเป็นที่ร้าง... ประตูทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง มีสถูปแห่งหนึ่งเหลือแต่ซาก มีหลักฐานว่าผู้สร้างคือพระเจ้าอโศกมหาราช สถานที่แห่งนี้เป็นซากบ้านของนายจุนทะบุตรของนายช่างทอง (จุนทะกัมมารบุตร) คนที่ได้ถวายภัตตาหารครั้งสุดท้าย แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลางหมู่บ้าน มีบ่อแห่งหนึ่ง เป็นบ่อที่ขุดฝังอาหารที่เหลือจากเศษเสวยของพระพุทธองค์ และพระพุทธองค์รับสั่งให้ฝังเสีย ไม่ทรงยอมให้ภิกษุอื่นบริโภค น้ำในบ่อนั้นล่วงเลยมานานเพียงใดก็ดี ก็ยังมีน้ำสะอาดใสอยู่เสมอ... ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง ห่างไป 3-4 ลี้ เราข้ามแม่น้ำอชิตวดีไปทางตะวันตกของแม่น้ำนั้น ไม่ไกลนักเป็นสาลวโนทยาน มีไม้สาละขึ้นเป็นหมู่ใหญ่ ลักษณะของไม้เป็นเปลือกสีขาว ส่วนใบสะอาดเป็นเงาไม่มีขรุขระ ในป่าไม้สาละนั้น มีสาละใหญ่อยู่ 4 ต้น ที่มีลักษณะใหญ่กว่าไม้อื่น ๆ ... ในสาลวโนทยาน มีสถูปแห่งหนึ่งเหลือแต่ซาก มีหลักฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าอโศก ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีแม่น้ำหิรัญญวดี (ในบันทึกบอกว่าอชิตวดี) มีน้ำเปี่มอยู่ มีไม้สาละขึ้นอยู่เต็มทั้งป่า วิหารใหญ่ก่ออิฐถือปูน มีพระพุทธรูปไสยาสน์ปางปรินิพพานหันเศียรไปทางทิศเหนือ มีลักษณะเหมือนบรรทมหลับ ข้าง ๆ มีสถูปใหญ่ มีจารึกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้าง แม้จะทรุดโทรม แต่ก็ยังเหลือความสูงถึง 200 ฟุต ข้างสถูปมีศิลาจารึกว่า ที่นี่ เป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระตถาคต... ทางทิศเหนือของเมืองกุสินารา (ในมหาปรินิพพานสูตรว่าทางทิศตะวันออก) เราเดินข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง เดินไปประมาณ 300 ก้าว ได้พบพระสถูปองค์หนึ่ง สถานที่นี้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พื้นดินตรงที่ถวายพระเพลิง บางแห่งเป็นสีเหลืองปนดำ บางแห่งร่วนเหมือนกับถ่านไฟ ใครก็ตามเมื่อจาริกแสวงบุญ มาถึงสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแห่งนี้ ถ้าตั้งจิตให้เป็นสมาธิ สาธยายมนต์ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้นก็จะเสด็จมาสู่ตน..." จนในพุทธศตวรรษที่ 14-15 ราชวงศ์สกลจุรี ได้เข้ามาสร้างวัดขึ้น ในบริเวณสาลวโนทยานจำนวนมาก จนพระพุทธศาสนา ได้หมดจากอินเดียไปใน พ.ศ. 1743 ทำให้สถานะของพระพุทธศาสนา ในกุสินาราถูกปล่อยทิ้งร้าง และกลายเป็นป่ารกทึบ จนใน พ.ศ. 2433 ภิกษุมหาวีระ สวามี และท่านเทวจันทรมณี ชาวศรีลังกา เดินทางมายังกุสินารา และเริ่มอุทิศตัวในการฟื้นฟูพุทธสถานแห่งนี้ ร่วมกับเนซารี ชาวพุทธพม่า จนได้สร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า "มหาปรินิวานะ ธรรมะศาลา" สถานที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระพระพุทธเจ้าเป็นเวลา 7 วัน ก่อนอัญเชิญไปถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในปี พ.ศ. 2397 นายวิลสัน นักโบราณคดีอังกฤษ ได้ทำการพิสูจน์ขั้นต้นว่าหมู่บ้านกาเซียคือกุสินารา จนในปี พ.ศ. 2404-2420 เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม ได้เริ่มทำการขุดค้นเนินดินในสาลวโนทยาน จนในปี พ.ศ. 2418-2420 นายคาร์ลลีเล่ หนึ่งในผู้ช่วยในทีมขุดค้นของท่านเซอร์ อเล็กซานเดอร์ ได้ทำการขุดค้นต่อจนได้พบพระพุทธรูปปางปรินิพพาน วิหารปรินิพพาน และสถูปจำนวนมากที่ผู้ศรัทธาได้สร้างไว้ในอดีตเมื่อครั้งพระพุทธศาสนายังรุ่งเรือง โดยนายคาร์ลลีเล่ เป็นท่านแรก ที่เอาใจใส่ในงานบูรณะ และรักษาคุ้มครองพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ขุดพบ จากนั้น นับแต่ พ.ศ. 2443 เป็นต้นมา กุสินาราได้เริ่มมีผู้อุปถัมภ์ ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ เข้ามาสร้างวัดและสิ่งอำนวยความสะดวก แก่ผู้จาริกแสวงบุญที่เริ่มเข้ามาสักการะมหาสังเวชนียสถานแห่งนี้จนในปี พ.ศ. 2498 รัฐบาลอินเดีย ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาปูชนัยสถานแห่งนี้ เพื่อเตรียมเฉลิมฉลอง 25 พุทธชยันตี โดยได้รื้อโครงสร้างวิหารปรินิพพานเก่า (ที่ได้รับการบูรณะสร้างใหม่) ออกเพื่อสร้างมหาปรินิพพานวิหารใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างและสามารถรองรับพุทธศานิกชนได้ ในปี พ.ศ. 2499 จนในปี พ.ศ. 2507 วิหารได้พังลงมา ทางการอินเดียจึงบูรณะสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2518 และทางการอินเดีย และพุทธศาสนิกชนก็ได้มีส่วนร่วมในการบูรณะกุสินารา จนมีสภาพสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

กุสินารา : ในปัจจุบัน
ปัจจุบันกุสินาราได้รับการบูรณะ และมีปูชนียวัตถุสำคัญ ๆ ที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะคือ "สถูปปรินิพพาน" เป็นสถูปแบบทรงโอคว่ำ ที่เป็นทรงพระราชนิยมในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช บนสถูปมียอมมน มีฉัตรสามชั้น "มหาปรินิพพานวิหาร" ตั้งอยู่ด้านหน้าในฐานเดียวกันกับสถูปปรินิพพาน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน (คือพระพุทธรูปนอนบรรทมตะแคงเบื้องขวา) ศิลปะมถุรา มีอายุกว่า 1,500 ปี ในจารึกระบุผู้สร้างคือ หริพละสวามี โดยนายช่างชื่อ ทินะ ชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญ ที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูป ที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษ คือเหมือนคนนอนหลับธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน จากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลกทั้งปวง "มกุฏพันธนเจดีย์" อยู่ห่างจากปรินิพพานสถูปไปทางทิศตะวันออก 1 กิโลเมตร ชาวท้องถิ่นเรียก รัมภาร์สถูป เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ มีสภาพเป็นเนินดินก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี
ปัจจุบันชาวพุทธทั่วโลก ได้มาก่อสร้างวัดไว้มากมาย โดยมีวัดของไทยด้วย ชื่อ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ปัจจุบันชาวไทยที่มาสักการะ ณ กุสินารา นิยมมาพักที่นี่ ในส่วนพุทธสถานโบราณลุมพินีนั้น ปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมเป็นอย่างดีจากรัฐบาลอินเดีย โดยรอบมีสภาพเป็นสวนป่าสาละร่มรื่นเหมือนครั้งพุทธกาล ชวนให้เจริญศรัทธาแก่ผู้มาสักการะตลอดมาจนปัจจุบัน 


ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติ,พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้,สารนาถ สถานที่แสดงปฐมเทศนา,กุสินารา สถานที่ปรินิพพาน

ทัวร์แนะนำ ที่คุณอาจจะสนใจ