ข้อมูลเที่ยวเกาหลี : เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ (Jeju Island ... a legacy of natural wonders)

ข้อมูลเที่ยวเกาหลี :  เกาะเจจู ...มรดกแห่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ (Jeju Island ... a legacy of natural wonders)
 


เกาะเจจูหรือเกาะเชจูเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงโซล และถือเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญในแถบชายฝั่งด้านเหนือส่วนกลางของประเทศเกาหลีใต้ อีกทั้งยังติดอันดับจุดหมายปลายทางในฝันยอดนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอกจากนั้นเกาะเจจูยังเป็นเกาะที่สำคัญเนื่องจากมีตำแหน่งเป็น 1 ใน 9 จังหวัดของเกาหลีใต้ รวมถึงยังได้รับการจดทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกอีกด้วย อันเป็นผลมาจากความสวยงามและความมหัศจรรย์ของเกาะแห่งนี้ที่ธรรมชาติได้บรรจงแต่งแต้มและสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว ไม่เพียงเท่านั้น เกาะเจจูยังมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวไม่แพ้เมืองใหญ่อื่นๆ ในถิ่นโสมขาวแห่งนี้ เพราะนอกจากเสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันแสนจะโรแมนติก และวัฒนธรรมที่ดึงดูดให้ใครต่อใครอยากมาเยือนที่นี่แล้ว ในเรื่องของการเดินทางและการขนส่ง เกาะเจจูก็เพียบพร้อมทั้งสนามบินนานาชาติบนเกาะ รวมทั้งยังมีท่าเรือเฟอร์รี่ที่ทันสมัยและสะดวกสบาย ส่วนในเรื่องของอาหารการกิน และที่พักนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่แต่อย่างใด เคยได้ยินชื่อ เกาะเชจู (Jeju) หลายครั้งจากซีรีส์เกาหลีบ้าง จากเว็บไซต์การท่องเที่ยว หรือดูทีวีช่อง KBS World มาบ้าง รวมไปถึงข่าวโศกนาฏกรรมทางทะเลน่าเศร้าที่ผ่านมาไม่นาน ยิ่งทำให้ได้ยินชื่อบ่อยยิ่งขึ้น สำหรับเกาะแห่งนี้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "เกาะแห่งพระเจ้า" ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวเกาหลีเอง รวมไปถึงชาวต่างชาติ และเป็นจุดหมายยอดนิยมแห่งหนึ่งในการฮันนีมูนอีกด้วย

 

 


หากมองจากแผนที่จะเห็นว่า เกาะเชจู (Jeju) นั้น เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกจากชายฝั่งแผ่นดินของเกาหลี ด้วยขนาดของเกาะที่ไม่ใหญ่นัก แต่อุดมไปด้วยธรรมชาติต่างๆ ที่สวยงาม อากาศที่ดีมากจนได้ชื่อว่าเป็น "the Hawaii of Korea" เพราะมีอากาศและสภาพภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกับ เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา อย่างที่ได้ชื่อว่า เกาะเชจู แห่งนี้มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติถึง 7 แห่งซึ่งหลายแห่งยังได้รับการรองรับเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่สำคัญอีกด้วย ดังนั้นใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จะต้องไม่พลาดมาเที่ยวที่เกาะเชจูแห่งนี้ สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวสัญจรประจำปีของพนักงานบริษัทฯ โดยบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่สนามบินเชจู ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง มีถึงในตอนเช้าและเริ่มท่องเที่ยวกันทันที ซึ่งมีบางโปรแกรมที่ต้องบินตรงไปที่กรุงโซลก่อน แล้วจึงต่อเครื่องบินในประเทศมาเที่ยวที่เกาะเชจู แต่โดยส่วนตัวอยากแนะนำให้บินตรงจะเที่ยวอย่างเต็มที่แบบเจาะลึกเกาะเชจูดีกว่า สถานที่แรกที่น่าสนใจ คือ น้ำตกชอนจียอน Cheongiyeon Waterfall (천지연폭포) มีความยาว 22 เมตร กว้าง 12 เมตร ลึก 20 เมตร มีหน้าผาที่มีสายน้ำตกไหลลงตลอดทั้งปี และถือว่าสายน้ำแห่งนี้เป็นแหล่งน้ำจืดสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงคนที่เกาะเชจูมาตลอดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งน้ำจืดถือเป็นสิงที่หายากและมีค่าที่สุดของเกาะกลางทะเลเช่นนี้ มีต้นไม้เขียวชอุ่มด้วยความที่เป็นหุบเขา และอยู่ในเขตกึ่งโซนร้อน ทำให้มีพืชต่างๆ พวกเฟิร์น และพันธุ์ไม้หายากต่างๆ เช่น Solipnan หรือ เฟิร์น Psilotum Nudum ทำให้ได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติทางธรรมชาติ ลำดับที่ 378 ในปี ค.ศ. 1993 ต้นเมเปิ้ล (Maple) แดงสวยงามมาก อวดสายตาในฤดูใบไม้ผลิ ... น้ำตกแห่งนี้ยังหมายถึง บ่อน้ำของจักรพรรดิ์แห่งสวรรค์ ตามตำนานเล่าว่า นางไม้ 7 ตนจะลงมาอาบน้ำในตอนกลางคืน ในสมัยโบราณนั้นมีความเชื่อว่า หากได้มายืนใต้น้ำตกในวันที่ 15 ของเดือน 7 จะสามารถปัดเป่าโรคร้ายให้หายได้ หรือจะเป็นเมเปิ้ล สีเขียวสบายตา ก็สวยไม่แพ้กัน อุณหภูมิอยู่ประมาณ 10-20 องศา ในปลายเดือนเมษายน ทำให้ได้สัมผัสอากาศที่กำลังสบาย สูดออกซิเจนได้เต็มปอดแม้จะแวะท่องเที่ยวที่น้ำตกแห่งนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ก็ได้สัมผัสแรกของความงามในเกาะเชจูแห่งนี้ น้ำตกจะไม่ได้มีใหญ่โตมากนัก แต่ชอบในความใสสะอาด น้ำสีเขียวฟ้าเมื่อสะท้อนกับแสงแดด

 


ยังได้พบกับ "ชอนจียอน ซัมบก" ซึ่งสัตว์ 3 ชนิด ที่เป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของ ซัมบก คือ "เป็ดแมนดาริน" แทนความหมายของความรัก "ปลาคาร์ฟ" แทนความหมายของการประสบความสำเร็จ และ "เต่า" แทนความหมายของการมีอายุที่ยืนยาว เป็นความประทับใจแรก ซึ่งยังมีสถานที่อื่นๆ มากมายตลอดการท่องเที่ยว 3 วันเต็มของทริปนี้ เกาะเชจูแห่งนี้ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้พื้นดินอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ เหมาะสำหรับการเพาะปลูกพืช หนึ่งในนั้นคือ ชาเขียว (Green Tea) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาเขียวที่ดีที่สุดของเกาหลี และมีคุณภาพสูง มีไร่ที่ปลูกชาเขียวขนาดใหญ่ที่สุดในเกาหลี และยังเป็นฉากสำคัญในการบันทึกภาพความประทับใจกัน แอบเห็นต้น Pink Moss หรือ Shibazakura อยู่พุ่มหนึ่งไกลๆ ขอชวนเดินกันไปเก็บภาพใกล้ๆ ซึ่งจะบานในช่วงเมษายนแบบนี้ และที่สำคัญคือ ไม่ต้องไปเที่ยวไกลถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ได้ภาพถ่ายบรรยากาศเดียวกัน หลังจากถ่ายภาพกันสนุกสนาน ก็ขอเข้ามาชิมชาเขียวและขนมต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของชาเขียวกันภายในพิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค O’sulloc Museum (설록차 뮤지엄 오설록) ขอบอกว่ารสชาติชาเขียวที่นี่หอมอร่อยมาก รวมทั้งยังมีส่วนที่แสดงประวัติและวัฒนธรรมการผลิตชาเขียว นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของชาเขียวให้ได้เลือกจับจ่ายกัน จากนั้น เราก็มาเที่ยวกันต่อที่ วัดยักซอนซา Yakchunsa Temple (약천사) หรือ วัดน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า ถ้าได้ดื่มแล้วพรที่ขอไว้จะสมหวังทุกประการ วัดแห่งนี้เพิ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมของวัดทางพุทธศาสนาในสมัยต้นราชวงศ์โชซอน ทางเดินเข้าวัดยักชอนซา ยังมีต้นส้มอยู่มากมายตลอดสองข้างทาง ซึ่งเมืองเชจูแห่งนี้ ยังมีชื่อเสียงมากอีกอย่างคือ ส้ม (귤) นั่นเอง และขอบอกว่า ส้มรสชาติอร่อยมาก เปรี้ยวนำหวาน ชุ่มคอชื่นใจเมื่อได้ทาน แนะนำให้ซื้อกลับมาเป็นของฝาก เพราะรสชาดอร่อยไม่เหมือนส้มในบ้านเรา วัดแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,305 ตารางเมตร ถือเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก บริเวณด้านหน้าของพระอุโบสถ ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่มีขนาดความสูง 5 เมตร อยู่บนแท่นสูง 4 เมตร ภายในพระอุโบสถที่มีความสูงถึง 30 เมตร เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่มีความงดงามถึง 3 องค์ อันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าใน 3 ช่วงเวลา คือ อดีต, ปัจจุบัน และอนาคต พระพุทธรูปมีความงดงามมาก และยังสามารถเดินขึ้นไปชมที่ชั้นบนภายในอุโบสถ ด้านหน้าของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของศาลาระฆังขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักถึง 18 ตัน รวมไปถึงกลองขนาดใหญ่  บรรยากาศสวนรอบๆ วัดช่วยเพิ่มความร่มรื่น และยังสามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากบริเวณวัดอีกด้วย มาถึงไฮไลต์อีกจุดสำหรับการมาท่องเที่ยวที่เกาะเชจูนั่นก็คือ จูซังจอลลี Daepo Jusangjeolli Cliff (주상절리) เป็นชายฝั่งที่มีหินรูปร่างหกเหลี่ยมเหมือนรังผึ้งติดกัน และยื่นเป็นแหลมออกไปในทะเล ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่แปลกตา อีกทั้งยังถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นอนุสาวรีย์ธรรมชาติของเกาหลีอันดับที่ 443 หินรูปร่างหกเหลี่ยมเหมือนรังผึ้งติดกันที่ว่านี้ เกิดจากการเย็นตัวของลาวาร้อนแบบฉับพลัน ทำให้เกิดการแข็งตัวเป็นลักษณะคล้ายรังผึ้ง มี 6 แฉก  นี้มีนักท่องเที่ยวมายืนชมความงาม โดยเฉพาะช่วงเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตก ด้วยลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของ หินลาวาสีดำที่ยื่นออกมาจากชายฝั่งตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามสวยใส และสายลมพัดเย็นจากทะเล ยิ่งสร้างความประทับใจในการท่องเที่ยวอย่างมาก ฟองคลื่นขาวซัดยิ่งเพิ่มความสวยงามด้วยฝีมือของธรรมชาติล้วนๆ แอบถ่ายภาพโปสการ์ดที่วางขายอยู่ ทำให้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติมีมากมายบนเกาะเชจูแห่งนี้  

ทัวร์แนะนำ ที่คุณอาจจะสนใจ