ข้อมูลเที่ยวพม่า : ประเพณีของประเทศพม่า ประเพณีปอยส่างลอง (Poy Sang Long) หรืองานบวชลูกแก้ว
ประเพณีของประเทศพม่า
ประเพณีปอยส่างลอง (Poy Sang Long) หรืองานบวชลูกแก้ว
ประเพณี ปอยส่างลอง หรือที่เรียกว่า“งานบวชลูกแก้ว” เป็นงานประเพณีประจำของชาวไต หรือไทยใหญ่ ซึ่งได้มีการจัดสืบทอดกันมายาวนาน คำว่า ปอย แปลว่า งาน ซึ่งหมายถึง งานเทศกาล,งานรื่นเริง, งานมงคลต่าง ๆ ส่าง แปลว่า พระเณร และ ลอง มาจาก คำว่า อะลอง แปลว่า กษัตริย์ ราชา เกี่ยวกับเจ้าแผ่นดิน เมื่อรวมกันก็ หมายถึง งานเตรียมบวชเป็นพระเณรของเด็กที่แต่งตั้งเป็นกษัตริย์หรือราชานั่นเอง โดยงาน “ปอยส่างลอง” นี้ จะนิยมจัดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ ชาวบ้านมีเวลาว่างเว้น หลังจากเก็บเกี่ยวผืชผลเกษตรในไร่นาแล้วเสร็จ ประกอบกับเป็นช่วงปิดเทอมปิดภาคเรียนของเด็กๆ สาเหตุที่ชาวไทยใหญ่ได้จัดงานนี้ก็เพราะต้องการให้บุตรหลานได้มีโอกาสบรรพชา เป็นพระภิกษุสามเณรเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้ว่าชายชาวไทยใหญ่ที่นับถือพระพุทธศาสนา ล้วนจะได้ผ่านการบวชเป็นพระหรือสามเณรจากงานประเพณีปอยส่างลองนี้กันมาแทบ ทั้งสิ้น
ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศพม่า
ประเทศพม่าได้รับอิทธิพลจากจีน อินเดีย และไทยมานาน จึงมีการผสานวัฒนธรรมเหล่านี้เข้ากับวัฒนธรรมของตนจนเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา จึงเกิดประเพณีสำคัญ เช่นประเพณีปอยส่างลอง (Poy Sang Long) หรืองานบวชลูกแก้ว ประเพณี ปอยส่างลอง หรือที่เรียกว่า“งานบวชลูกแก้ว” เป็นงานประเพณีประจำของชาวไต หรือไทยใหญ่ ซึ่งได้มีการจัดสืบทอดกันมายาวนาน คำว่า ปอย แปลว่า งาน ซึ่งหมายถึง งานเทศกาล งานรื่นเริง งานมงคลต่างๆ ส่าง แปลว่า พระ-เณร และ ลอง มาจาก คำว่า อะลอง แปลว่า กษัตริย์ ราชา เกี่ยวกับเจ้าแผ่นดิน เมื่อรวมกันก็ หมายถึง งานเตรียมบวชเป็นพระเณรของเด็กที่แต่งตั้งเป็นกษัตริย์หรือราชานั่นเอง โดยงาน “ปอยส่างลอง” นี้ จะนิยมจัดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ชาวบ้านมีเวลาว่างเว้น หลังจากเก็บเกี่ยวผืชผลเกษตรในไร่นาแล้วเสร็จ ประกอบกับเป็นช่วงปิดเทอมปิดภาคเรียนของเด็กๆ สาเหตุที่ชาวไทยใหญ่ได้จัดงานนี้ก็เพราะต้องการให้บุตรหลานได้มีโอกาสบรรพชา เป็นพระภิกษุสามเณรเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้ว่าชายชาวไทยใหญ่ที่นับถือพระพุทธศาสนา ล้วนจะได้ผ่านการบวชเป็นพระหรือสามเณรจากงานประเพณีปอยส่างลองนี้กันมาแทบทั้งสิ้น ตำนานปอยส่างลอง ต านานปอยส่างลองนี้ ถือตามความเชื่อ 2 ประการ คือ ว่ากันว่าเป็นการเลียนแบบตามประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์เมื่อครั้งก่อนจะออกผนวช เนื่องจากเป็นเจ้าชายจึงมีการแต่งกายในรูปกษัตริย์ และเมื่อครั้งเตรียมออกผนวช ได้มีนาย ฉันนะ เป็นผู้ติดตามอารักขา ฉะนั้น การจัดงานปอยส่างลอง ของชาวไทยใหญ่จึงมีการแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับเด็กคล้ายดังเจ้าชาย และมีลูกน้อง หรือที่เรียกว่า ตะแป หรือ พ่อส้าน แม่ส้าน คอยให้การปรนนิบัตรตลอดงาน ซึ่งหน้าที่ของ ตะแป (พ่อส้าน แม่ส้าน) คือ คอยแต่งหน้า แต่งตัว และยอมให้ขี่คอ เมื่อมีการน าส่างไปแห่ หรือ เวลาที่ส่างลองต้องการไปไหนมาไหนส่วนอีกต านานหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ ในหนังสือไทยใหญ่ที่เขียนโดยเจ้าหน่อค า นักอักษรศาสตร์ชื่อดังของชาวไทยใหญ่ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ในกรุงราชคฤห์ มีกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่า พระเจ้าพิมพิศาล ซึ่งเป็นสร้างพระวิหารถวายพระพุทธเจ้าและปาวารณาตนเป็นทายกของพระพุทธเจ้าตลอดชีวิต พระเจ้าพิมพิศาล มีโอรสพระองค์หนึ่ง นามว่า อาชาตศัตรู วันหนึ่งเจ้าชายอาชาตศัตรูได้เสด็จไปยังลานพระวิหารที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ และบังเอิญได้พบกับพระเทวทัต เมื่อนั้นพระเทวทัตได้อัญเชิญอาชาตศัตรูเสด็จขึ้นไปบนกุฏิและได้กล่าวยกย่องว่าเป็นผู้มีบุคลิกดี เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง พร้อมกับยุแหย่ว่าพระเจ้าพิมพิศาลนั้นทรงชราภาพมากแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะเป็นกษัตริย์อีกต่อไป เพราะจะไม่สามารถน าทัพไปสู้รบกับใครได้ อาจสูญเสียแผ่นดินให้กับเมืองอื่น จึงแนะน าให้พระเจ้าอาชาตศัตรูปลงพระชนม์ เจ้าชายอาชาตศัตรูเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เกิดความขุ่นเคืองไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวต าหนิว่าใครจะสังหารบิดาของตัวเองได้ลงคอ จากนั้นจึงรีบเสด็จกลับทันที ฝ่ายพระเจ้าเทวทัตไม่ลดละความพยายาม โดยได้หาโอกาสพบกับเจ้าชายอาชาตศัตรูอีกครั้ง และได้ทูลกระซิบให้พระเจ้าอาชาตศัตรูจับพระบิดาขังไว้โดยเสนอไม่ให้เสวยอาหาร 7 วัน เพื่อจะได้สิ้นพระชนม์ฺอย่างสงบ พร้อมทูลอีกว่าตัวเขาเองก็จะหาทางปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นท้องสองพระองค์จะร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองแทนเจ้าชายอาชาตศัตรูเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หลงเชื่อ หลังกลับถึงวังได้สั่งให้ทหารนำพระบิดาไปขังไว้พร้อมสั่งไม่ให้ผู้ใดน าอาหารไปให้เสวย ฝ่ายพระมารดาเมื่อทราบข่าวก็เกิดความรู้สึกสงสารในพระสวามี จึงได้ท าขนมใส่เกล้าผม บางครั้ง
ใส่รองเท้า หรือทาตามตัวบ้าง แอบเข้าไปเยี่ยมและให้เสวย จนกระทั่งเวลาผ่านไปครบ 7 วันพระเจ้าพิมพิศาลก็ยังมีชีวิตอยู่ และยังสามารถนั่งนอน ลุกเดินไปมาภายในห้องขังได้ เมื่อเจ้าชายอาชาตศัตรู ทราบเรื่องก็ได้สั่งให้ทหาร เฉือนเนื้อฝ่าเท้าของพระบิดาออกแล้วให้เอาน้ำเกลือทา เพื่อไม่ให้เดินไปมาได้ระหว่างกำลังขังทรมานพระบิดาอยู่นั้น เจ้าชายอาชาตศัตรูได้น าพาพระโอรสไปเยี่ยมพระมารดา และระหว่างนั้นได้ทรงตรัสกับพระมารดาว่า เขามีความรักใคร่ในพระโอรสของเขามาก และได้ทรงตรัสถามพระมารดาว่า เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์พระบิดาจะทรงรักตนเหมือนที่ตนรักพระโอรสหรือไม่ เมื่อพระมารดาได้ยินเช่นนั้น จึงตรัสว่า “เจ้ารักลูกเจ้ามากนั้นคงไม่จริงหลอก เพราะของเล่นต่างๆ ซึ่งล้วนมีค่าที่ลูกเจ้า เล่นอยูทุกวัน เป็นของเล่นที่พ่อเจ้าซื้อให้เจ้าทั้งสิ้น เจ้าไม่ได้ซื้อหามาให้ลูกเจ้าแม้แต่ชิ้นเดียวเลย” เจ้าชายอาชาตศัตรู เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงแน่นิ่ง และทรงสำนึกผิดที่ทำต่อพระบิดา จากนั้นจึงรีบเสด็จไปยังที่คุมขังพระบิดา เพื่อน าตัวออกมารักษา ทว่า พระบิดาได้สิ้นพระชนม์เสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าชายอาชาตศัตรู เกิดความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงรีบเสด็จไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า พร้อมกับทูลเล่าเรื่องทังหมด เมื่อพระพุทธเจ้า ได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า “เพราะคบคนพาลจึงได้ทำบาปนี้เพื่อผ่อนบาปที่หนักให้เป็นเบา ให้นำพระโอรสมาถวายเป็นทานในพระพุทธศาสนา โดยที่ให้เขาสมัครใจ” เมื่อทราบดังนั้น เจ้าชายอาชาตศัตรู ได้ชักชวนพระสหายพร้อมด้วยอ ามาตย์ให้น าบุตรหลานเข้าร่วมรับการบวช ซึ่งมีจำนวนกว่า 500 คน ก่อนบวชได้มีการจัดงานใหญ่ 7 วัน 7 คืน พร้อมกับมีการแต่งองค์ทรงเครื่องบุตรหลานด้วย เครื่องประดับสวยงาม พร้อมกับมีการน าบุตรหลานอาบน้ำขมิ้นส้มป่อย ซึ่งถูกแช่ด้วยเพชร พลอย ทองคำ เงิน เพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นได้แห่ไปตามถนนรอบกรุงราชคฤห์ด้วยการขี่ช้าง ขี่ม้า หลังครบ 7 วัน จึงนำไปเฺข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรต่อหน้าพระพุทธเจ้าและเหล่าพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย จากเหตุนี้ ชาวไทใหญ่จึงได้ยึดถือนำมาปฏิบัติจัดเป็นงานประเพณีปอยส่อง จนถึงปัจจุบันขั้นตอนการจัดงานปอยส่างลอง ปอยส่างลองหรืองานบวชลูกแก้วนั้นเป็นพิธีการเฉลิมฉลองของการบรรพชาสามเณรในศาสนาพุทธซึ่งปกติจะมีการจัดงานตั้งแต่ 3 – 5 - 7 วัน ซึ่งงานดังกล่าวนี้จะนิยมจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงหน้าแล้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ และเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็กๆด้วยก่อนถึงวันประเพณีปอยส่างลอง อย่างน้อย 10 วัน พ่อแม่จะน าเด็กที่จะเข้ารับการบวช ไปฝากไว้กับหลวงพ่อ หรือพระอาจารย์ที่วัด เพื่อรับการฝึกสอนคำรับศีล คำให้พร คำขอบวช รวมถึงการกราบไว้ และก่อนจะเป็นส่างลอง
เด็กซึ่งเป็นผู้ชายจะต้องโกนผม และอาบน้ าสะอาด หรือ น้ าเงิน น้ าทอง น้ าเพชร น้ าพลอย เพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นจะแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆ อย่างอลังการ มีการแต่งหน้าแต่งตาด้วยสีสันที่จัดจ้านให้ส่างลอง ดูสวยงามเสมือนเจ้าชายซึ่งมีสง่าราศีเหนือคนทั่วไปวันแรกของปอยส่างลอง หรือ ที่เรียกกันว่า วันเอาส่างลอง หลังจากส่างลองได้ท าพิธีรับศีลแล้ว ผู้เป็นพ่อแม่รวมถึงเจ้าภาพจะจัดเลี้ยงอาหาร 12 อย่าง เป็นมื้อแรกแก่ส่างลอง จากนั้นจะน าส่างลองแห่รอบวิหาร 3 รอบ และแห่ไปกราบคารวะศาลหลักเมือง จากนั้น ในช่วงบ่ายก็จะนำส่างลองไปคารวะตามวัดต่างๆวันที่สอง หรือ "วันรับแขก" ทั้งส่างลอง และเจ้าภาพ จะคอยให้การต้อนรับแขกจากที่ต่างๆ ที่ได้มีการเชิญไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งจะมาร่วมทำบุญด้วย ซึ่งวันนี้จะเป็นวันที่มีการเลี้ยงฉลองแขกและญาติๆ ที่มาร่วมงานอย่างสนุกสนานวันสุดท้าย คือ "วันบวช" พิธีของวันนี้จะเริ่มด้วยการนำส่างลองไปแห่รอบวิหาร 3 – 7 รอบ จากนั้นจะนำส่างลองขึ้นวัดเพื่อขออนุญาตทำการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่ เมื่อท่านเจ้าอาวาส หรือพระผู้ใหญ่ได้อนุญาตแล้ว ส่างลองก็จะพร้อมกันกล่าวคำบรรพชาและอาราธนาศีล แล้วจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดเสื้อผ้าส่างลองที่สวยงามมาเป็นผ้ากาสาวพัตร์สีเหลือง และเป็นพระภิกษุ - สามเณรอย่างสมบูรณ์ ก่อนเข้าพิธีบวชหนึ่งวัน ส่างลองจะได้เข้าพิธีเรียกขวัญและการสวดคำขวัญ เพื่อให้เป็นสิริมงคลด้วย ซึ่งงานประเพณีปอยส่างลองนี้ แต่ละแห่งจะมีการจัดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสะดวกและลำดับขั้นตอนของที่นั้นๆ โดยเฉพาะกำหนดวัน ซึ่งที่ที่มีการจัดงานมากกว่า 3 วัน จะเลื่อนวันรับแขกออกไปวันอื่น และในช่วงการจัดงานจะมีการนำส่างลองไปเยี่ยมบ้าน หรือ ไปคารวะวัดและเยี่ยมเยือนหมู่บ้านต่างๆ ที่ขาดไม่ได้คือ ตลอดงานจะต้องมีการแห่ส่างลอง รอบวิหารของวัดพร้อมมีการรับศีลทุกเช้าเย็น ที่ส าคัญตลอดงานส่างลองจะต้องไม่แตะพื้นที่ดิน ซึ่งหากจ าเป็นจะไปไหนมาไหน ผู้เป็น ตะแป หรือ พ่อส้าน จะคอยดูแลโดยให้ขี่คอ และจะมี ตะแป อีกคนคอยกางร่มให้ตลอดเวลา องค์ประกอบงานบวช “ปอยส่างลอง”
การแต่งตัวของ “ปอยส่างลอง”
1. ชุดส่างลอง (เครื่องแต่งกายต่างๆ)
2. ร่มทอง (ส าหรับกางให้ส่างลอง)
3. ตะแป - พ่อส้าน แม่ส้าน (ผู้คอยปรนนิบัตร)
4. จีวร
5. อัฐบริขาร (ประกอบด้วย เครื่องใช้ต่างๆ)
6. ต้นเงิน
7. สังฆทาน
8. ต้นข้าวตอก หรือ ต้นข้าวแตกงานไหว้พุทธเจดีย์ประจ าปี