ข้อมูลเที่ยวออสเตรเลีย : “แอดิเลด” ขุมทรัพย์ทำเลทองระดับโลกในการปลูกไวน์ ("Adelaide" gold treasure in the world of wine)
ข้อมูลเที่ยวออสเตรเลีย : “แอดิเลด” ขุมทรัพย์ทำเลทองระดับโลกในการปลูกไวน์ ("Adelaide" gold treasure in the world of wine)
เหตุผลที่ต้องไปเยือนเมืองแอดิเลด เนื่องจากดินแดนแห่งนี้เป็นทำเลทองของการกำเนิดไวน์อย่างแท้จริง โดยหลังจาก “ผู้พันวิลเลียม ไรต์” ได้อพยพมาตั้งรกรากในดินแดนตอนใต้ของออสเตรเลีย ได้ค้นพบเมืองแอดิเลด ในปี ค.ศ.1836 แล้วในปีถัดมาเขาได้ออกสำรวจไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และได้พบกับ “บอรอสซ่า วัลเลย์” (Borossa Valley) ที่เขาได้ตั้งชื่อให้คล้ายกับสถานที่ทางใต้ของประเทศสเปนที่อังกฤษเคยได้รับชัยชนะคือ บอรอสซ่า นอกจากนี้ ผู้พันไลต์ยังได้ตั้งชื่อ จาคอบส์ ครีก เพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้ช่วยในการสำรวจพื้นที่ของเขา นั่นคือ มร.วิลเลียม จาคอบ หากกล่าวย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1847 ถือเป็นจุดกำเนิดขององุ่นในดินแดนจาคอบส์ ครีก โดย “มร.โยฮานน์ แกรมป์” (Johann Gramp) ชาวเยอรมันผู้อพยพมาตั้งรกรากในออสเตรเลีย ได้ปลูกองุ่นเพื่อการค้าขึ้นครั้งแรกในบริเวณจาคอบส์ ครีก ไง่องุ่นที่ว่านี้ได้เจริญเติบโตและแผ่ขยายออกไป จนสามารถผลิตเป็นเหล้าองุ่นได้ในปี ค.ศ.1850 ซึ่งเหล้าที่ผลิตในปีแรกนี้เป็นลักษณะ “Hock Style White Wine” อันถือได้ว่านี่คือจุดเริ่มแห่งประวัติของโรงงานผลิตเหล้าองุ่น ซึ่งเจริญต่อมาเป็น “ออร์แลนโด ไวน์” (Orlando Wine) สำหรับไวน์ในชื่อจาคอบส์ ครีก นั้น เริ่มผลิตและจำหน่ายครั้งแรกในปี ค.ศ.1973 โดยผลิตเป็นประเภท “ชีราซ คาเบอร์เนต์ แมลเบก” (Shiraz Cabernet Malbec) และชื่อของไวน์มาจากชื่อของท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งแห่งแรกของไร่องุ่นโยฮานน์ แกรมป์ คือ “จาคอบส์ ครีก” นั่นเอง องุ่นของไวน์จาคอบส์ ครีก มาจากแหล่งปลูกองุ่นหลายที่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย โดยเฉพาะไร่บารอสซ่า วัลเลย์ ดินแดนที่มีชื่อเสียงที่สุดในการปลูกองุ่นสำหรับผลิตไวน์ โดยผู้ผลิตสามารถเอาชนะความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและได้องุ่นที่มีคุณภาพ จนสามารถพัฒนาคุณภาพของไวน์ให้คงที่ได้โดไม่ต้องคำนึงถึงปีที่เก็บบ่มอีกต่อไป ไวน์จาคอบส์ ครีก ชนิดต่างๆ ล้วนสามารถบ่งบอกได้ถึงคุณสมบัติเฉพาะตัวที่โดดเด่นขององุ่นพันธุ์นั้นๆ อันเป็นที่มาของรสชาติชั้นเลิศที่คอไวน์สามารถระบุและเลือกได้ตามความชื่นชอบ ปัจจุบัน จาคอบส์ ครีก เป็นไวน์ออสเตรเลียที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ซึ่งขวดแรกของจาคอบส์ ครีก คือรุ่น เรสลิ่ง (Riesling) นั้นเป็นสินค้าส่งออกไปสู่ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ.1984 จนในปี ค.ศ.1997 บริษัท ออร์แลนโด ไวน์ จำกัด ได้ถูกจารึกว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตไวน์จาคอบส์ ครีก ที่สามารถทำยอดขายทวีขึ้นเป็นเท่าตัว และปี ค.ศ.2001 สามารถขายได้ทั่วโลกมากกว่า 4 ล้านลังต่อปี และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 7 ล้านลังต่อปีในปี ค.ศ.2005 จาคอบส์ ครีก ได้รับการยกย่องให้เป็น “เครื่องดื่มสากล” ที่ได้รับความนิยมชมชอบและถูกวางจำหน่ายมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ทำให้จาคอบส์ ครีก เป็นไวน์ออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงที่สุด และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงในฐานะผลิตภัณฑ์ส่งออกของออสเตรเลีย
ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์จาคอบส์ ครีก ซึ่งได้เปรีบบไวน์ยี่ห้ออื่นๆ โดยเฉพาะการที่จาคอบส์ ครีก เป็นไวน์ออสเตรเลียที่มีคุณภาพเหนือราคา ที่คงความสม่ำเสมอของรสชาติและคุณภาพ พร้อมรสชาติที่เน้นความสดใหม่ของไวน์ (Fresh Fruit-driven Style) ทำให้ดื่มง่าย รวมทั้งจาคอบส์ ครีก เป็นไวน์ออสเตรเลียอันดับหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย มีการจำหน่ายมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก นับเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเป็นที่น่าเชื่อถือ ทำให้ไวน์ออสเตรเลีย ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในซูเปอร์มาร์เกต และไฮเปอร์มาร์เกตในประเทศไทยหลายปีซ้อน จนเคยคว้าเหรียญและรางวัลมาแล้วกว่า 5,300 รายการ อันการันตีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด จำกัด มองเห็นอนาคตทางการตลาด จึงเลือกไวน์ที่เป็นที่นิยมเป็นอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย คือ จาคอบส์ ครีก มาทำตลาดในไทย ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บวกกับความใส่ใจในการทำการตลาด โดยแต่ละปีบริษัทจัดสรรงบประมาณราว 20-30 ล้านบาท สร้างสรรค์แคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นทุกปี และครองตำแหน่งไวน์ที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในซูเปอร์มาร์เกต และไฮเปอร์มาร์เกตในประเทศไทยหลายปีซ้อน สำหรับเป้าหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่ไร่องุ่นในหมู่บ้านเล็กๆ ในคูนาวาร์ร่า เมืองแอดิเลด โดยนั่งเครื่องบินจากเมืองไทยไปยังซีดนีย์ แล้วต้องนั่งเครื่องบินโดยสายการบินท้องถิ่นระดับโลก อย่าง แควนตัส มาลงที่เมืองแอดิเลด จากนั้นต่อด้วยเครื่องบินขนาดเล็กแบบใบพัดจำนวน 10 ที่นั่ง เพื่อไปลงยังลานจอดเครื่องบินขนาดย่อมกลางไร่องุ่น ณ หมู่บ้านคูนาวาร์ร่า คูนาวาร์ร่าถูกจัดให้อยู่ในทำเลทองในการปลูกไวน์ด้วยเช่นกัน เพราะอยู่ในเขตรัฐออสเตรเลียใต้ โดยเฉพาะสายพันธุ์ “คาเบอร์เนต์ เซอวิญอง” (Cabernet Sauvignon) เพราะมีส่วนผสมของชั้นดินที่ลงตัวต่อการเพาะปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์ชั้นเลิศนี้ โดย มร.เจมส์ คีน ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดของออร์แลนโดไวน์ พร้อมด้วย “ซาราห์ เมย์” ผู้จัดการฝ่ายการจัดงานและผู้มาเยือน มาอธิบายและชวนสำรวจไร่องุ่นสายพันธุ์นี้ที่ทอดตัวยาวสูงต่ำไปตามแลนด์สเคปอย่างใกล้ชิด ต่อมาในช่วงเที่ยงเราได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันที่ “ร้านอาหารฟอดเดอร์” (Fodder Restaurant) ซึ่งเป็นร้านอาหารที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแขกคนสำคัญของจาคอบส์ ครีก ที่มาเยี่ยมเยียนไร่องุ่นสายพันดังกล่าว ภายในนอกจากเสิร์ฟอาหารกลางวันรสชาติแบบยุโรปแล้ว สิ่งทีขาดไม่ได้เลยก็คือไวน์แดงสายพันธุ์คาเบอร์เนต์ เซอวิญอง หลากหลายรสชาติอีกด้วย จากนั้นในช่วงบ่ายผมได้เดินทางโดยเครื่องบินเล็กส่วนตัวจากหมู่บ้านเล็กๆ ในคูนาวาร์ร่า เพื่อเดินทางกลับไปยังตัวเมืองแอดิเลดแล้วนั่งรถบัสต่อไปยังบารอสซ่า วัลเลย์ เมื่อเดินทางมาถึงในช่วงค่ำก็เช็ก-อินเข้าพักที่โรงแรมโนโนเวล บารอสซ่า วัลเลย์ รีสอร์ต ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยไง่องุ่นอันเขียวขจี พอวันรุ่งขึ้นเดินทางไปจิบไวน์ที่ผลิตขึ้นในไร่บารอสซ่า วัลเลย์ และรับประทานอาหารกลางวันที่ “Jacob's Creek Visitor Centre” ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะเดินทางไปที่ “แอดิเลด ฮิลล์” (Adelaide Hills) ดินแดนที่ว่ากันว่าสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินหลายรุ่น ด้วยพื้นที่เกษตรกรรมและหมู่บ้านที่สวยงามประทับใจ พักในกระท่อมแบบบาวาเรียน และเดินเยี่ยมชมร้านขนมปัง ร้านขายสินค้าหัตถกรรม และแหล่งแสดงงานศิลปะ ณ “ฮาห์นดอร์ฟ” (Hahndorf) หมู่บ้านชาวเยอรมันเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงอยู่ของออสเตรเลีย ซึ่งห่างจากเมืองแอดิเลดเพียง 20 นาที หมู่บ้านฮาห์นดอร์ฟก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1839 โดยผู้นับถือนิกายลูเธอร์ที่หลบหนีการไล่ล่าทางศาสนาในปรัสเซีย ฮาห์นดอร์ฟได้รับการตั้งชื่อตามกัปตันเดินเรือ ชื่อของเขาคือ ฮาห์น (Hahn) ในขณะที่คำว่า ดอร์ฟ (Dorf) เป็นภาษาเยอรมันแปลว่า หมู่บ้าน ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งของความเป็นเยอรมันของฮานได้ดึงดูดให้มีผู้มาเยี่ยมชมจากทั่วทุกมุมโลก สามารถเดินเล่นร่วมกับนักท่องเที่ยวบนถนนที่มีอาคารเก่าแก่เรียงรายสองข้างทาง รวมถึงเครื่องบินอายุร่วมร้อยปี หมู่ต้นเอล์มรวมถึงต้นยูคาลิปตัสพื้นเมือง สามารถชมร้านวัตถุโบราณ ร้านเหล้าองุ่น และชอปปิ้งของที่ระลึกที่มีเสน่ห์งดงามด้วยดอกไม้สีสวยที่ประดับอยู่ในภาชนะที่ทำด้วยถังไม้ใส่ไวน์ นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมันรุ่นแรกในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ โดยเฉพาะผลงานของ “เซอร์-ฮานส์ เฮย์เซน” (Sir-Hans Heysen) ศิลปินภูมิทัศน์ผู้มีชื่อเสียงที่พำนักอยู่ในฮาห์นดอร์ฟ ที่ห้องแสดงภาพท้องถิ่น รวมทั้งสตูดิโอและบ้านพักของเขาอีกด้วย หากคุณต้องการสัมผัสกับบรรยากาศแบบเยอรมันแท้ก็สามารถพักในบ้านสไตล์บาวาเรียน และอร่อยกับไส้กรอก กะหล่ำปลีดองและแอปเปิลสตรูเดิลไปพร้อมกับเบียร์เยอรมันแก้วใหญ่ เดินทางกลับพร้อมอาหารเยอรมันชั้นหนึ่งและเสียงเพลงพื้นบ้านที่อบอวลอยู่ในความรู้สึก หลังเดินทางกลับ ภาพของหมู่บ้านชาวเยอรมันดั้งเดิมในฮาห์นดอร์ฟยังอยู่ในความทรงจำ พร้อมกับรสชาติของไวน์จาคอบส์ ครีก ที่ยังคงไม่เคยเลือนหายไปจากการสัมผัสของผม และนี่คือ “แอดิเลด” ดินแดนที่ต้องสรรเสริญแด่ “ผู้พันวิลเลียม ไรต์” ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงตัวตนของเขาและรสชาติแห่งไวน์รสเลิศ :: Text by FLASH mag.
วิธีการทำไวน์
การทำไวน์นั้นทำจากน้ำองุ่นหมักกับยีสต์ เพื่อให้เกิดแอลกอฮอล์ และถ้าเป็นสปาร์กลิ่ง ไวน์ จะเก็บส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากการหมักไว้ด้วย เมื่อทำการบรรจุขวดเพื่อให้เกิดพรายฟอง
Red Wine : ทำจากองุ่นแดง โดยหมักองุ่นทั้งเปลือก เพื่อให้เกิดสีในระหว่างการหมัก
Rose Wine : ทำจากองุ่นแดง โดยหมักองุ่นทั้งเปลือกในระยะเวลาหนึ่ง ให้ได้สีชมพูแล้วนำเปลือกออก เพื่อไม่ให้สีเข้มจัดจนกลายเป็นสีแดง
White Wine : ทำจากองุ่นแดงหรือองุ่นขาวก็ได้ แต่ไม่ใส่เปลือกลงไปหมักด้วย ซึ่งเมื่อหมักเสร็จจะได้ไวน์สีขาวใส
Sparkling Wine : กรรมวิธีเหมือนกับไวน์ขาวแต่เก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้บรรจุขวด