สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และการเดินทางในออสเตรเลีย
เอเยอร์สร็อค (Ayers Rock)
เอเยอร์สร็อค (Ayers Rock) หรือ อูลูรู (Uluru) เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจินิส หรือ อะนานู มากว่า 40,000 ปี เป็นเขาเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษระกลมมนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางที่ราบ โดยวัดจากทางทิศตะวันออกไปตะวันตกได้ 3.1 กิโลเมตร วัดจากเหนือมาใต้ได้ 1.9 กิดลเมตร ส่วนสูง 348 เมตร และรอบฐานยาว 9.4 กิโลเมตร มีคนมาเที่ยวปีหนึ่งประมาณ 300,000 คน ค้นพบเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 1873 โดย วิลเลียม คริสตี้ กอสส์ ชื่อเอเยอร์สร็อค ตั้งให้เป็นเกียรติกับ เซอร์เฮนรี เอเยอร์ส หัวหน้า เลขานุการแห่งออสเตรเลียใต้
เอเยอร์สร็อค มีลักษณะส่วนประกอบเป็นหินเชิงเดี่ยวหรือเป็นหินชนิดเดียว (เนื้อเดียว)ตลอดทั้งแท่ง(ก้อน) สีแดงเข้ม ที่น่า ประทับใจผู้ไปชมคือ ในตอนกลางวันอากาศปลอดโปร่งแจ่มใสจะปรากฎ เป็นแสงสะท้อนออกมาเป็นสีเหลืองทองให้เห็นบริเวณเดียว ถ้า มองที่ไกลๆ ออกมา
เอเยอร์สร็อคเกิดจากเม็ดหินที่เรียบและเล็กเป็นเม็ดแร่ที่ใส โดยวิธีการมารวมกันของหินต่างๆ หลายชนิดมารวมกัน ไม่ว่า จะเป็นหินสีเทา หินสีเขียว หินบะซอลต์ หินแกรนิต ฯลฯ ส่วนที่เกิดเป็นสีแดงนั้นเพราะอากาศ ฝุ่น น้ำ หรืออาจเรียกว่าหินเป็นสนิมก็ได้ และนั่นเป็นทำให้ เอเยอร์สร็อคกลายเป็นกระจกเงาที่สะท้อนแสงสีของอาทิตย์ เมื่อฝนตกน้ำฝนได้หลากจากหน้าผาสูงชัน กัดเซาะมา กองรวมกันเป็นชั้นโดยมีโคลนเป็นตัวร่วมเป็นตัวรวมกันหนากว่า 2-6 กิโลเมตร เป็นเวลากว่าร้อยล้านปี จนเมื่อ 400 ล้านปีก่อนเมื่อ เกิกการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกครั้งใหญ่ ชั้นหินที่รวมตัวกัน อยู่ในแนวนอนเกิดการดันตัวจากที่เป็นแนวนอน แรงดันทำให้ชั้นหินเกิด การวางตัวในแนวตั้ง ต่อมาอีก 300 ล้านปี เมื่อฝนและลมชะเอาดินทรายออกไป ส่วนปลายของชั้นหินจึงปรากฎขึ้นมา ดังนั้นเอเยอร์สร็อค ที่เห็นอยู่จึงเป็นเพียงส่วนปลายของ ชั้นหินที่วางตัวยาวไปทางตะวันตกเฉียงใต้ถึง 5-6 กิโลเมตร
สวรรค์ของนักดำ น้ำ"Great Barrier Reef" ที่ออสเตรเลีย
เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ (Great Barrier Reef) เป็นแนวปะการังนอกชายฝั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย กินพื้นที่กว่า 344,400 ตารางกิโลเมตรในทะเลคอรัล (Coral) เริ่มตั้งแต่แหลมเคปยอร์ค (Cape York) ซึ่งอยู่ทางเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ ลงมาจนถึงเมืองบันดะเบอร์ก (Bundaberg) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้
บริเวณแนวปะการังและเกาะควีนแลนด์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างไกลกว่า 2,500 กิโลเมตรนั้น มีแนวปะการังมากกว่า 2,900 แนว รวมทั้งเกาะขนาดต่าง ๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของแนวปะการังอีกหลายร้อยเกาะ แนวปะการังถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ แนวปะการังเหนือ (Northern Reef) หมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Island) และ แนวปะการังใต้ (Southern Reef) ปัจจุบันเกรท แบร์ริเออร์ รีฟ อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติทางทะเล เกรท แบริเออร์ รีฟ (The Great Barrier Reef Marine Park Authority)
แนวปะการังขนาดมหึมาซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนกับป่าใต้น้ำ ได้กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลนานา ชนิด อาทิ ปะการัง ทั้งที่เป็นปะการังอ่อนและปะการังแข็ง กว่า 350 ชนิด ฟองน้ำกว่า 10,000 ชนิด หอยกว่า 4,000 ชนิด ปลาดาวและซีเออร์ชิน (Sea Urchin) ซึ่งเป็นสัตว์ ประเภทคล้ายหอยกว่า 350 ชนิด และปลามากกว่า 1,500 ชนิด เช่น ปลาฉลาม ปลาโลมา วาฬ ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบ ด้วยว่า เกรท แบริเออร์ รีฟ เป็นบริเวณที่มีพะยูนอาศัยมากที่ สุดแห่งหนึ่งของโลก อันแสดงถึงค Mวามอุดมสมบูรณ์ของระบบ นิเวศน์ในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี นักดำน้ำต่างประมาณการณ์กัน ว่าจะต้องดำน้ำมากกว่า 1,000 ครั้ง จึงจะเห็นความงดงาม ของแนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลได้อย่างครบถ้วน
ปัจจุบัน เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวที่ สำคัญของรัฐควีนส์แลนด์โดยเฉพาะเมื่อ นักท่องเที่ยวเดินทางไปที่เมืองแครนส์ (Cairns) และ บริเวณเขตหมู่เกาะวิทซันเดย์ แม้ว่าเกรท แบร์ริเออร์ รีฟ จะเป็นสรวงสวรรค์ของบรรดานักดำน้ำลึก (Scuba Diving) แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากตัวเปียกก็ สามารถชื่นชมความงามของแนวปะการังสีสวย ๆ ได้จาก เรือท้องกระจก และเรือดำน้ำที่มีให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก
เมือง เมลเบิร์น ( Melbourne )
ชาวยุโรปจากแผ่นดินใหญ่เริ่มอพยพเข้ามาตั้ง ถิ่นฐานที่เมืองเมลเบิร์นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1835 และเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกๆ ด้านจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง ในปี 1901 ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของประเทศก่อนที่จะย้ายไปกรุงแคนเบอร์ร่าในปี 1927 เมืองเมลเบิร์นเคยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคและในขณะนี้เป็น เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากนครซิดนีย์ นอกจากนั้น เมืองเมลเบิร์นยังเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยที่สุด ในโลกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
อนุสรณ์ทหารผ่านศึก (SHRINE OF REMEMBRANCE)
ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารออสเตรเลียที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ หนึ่งและสองตัวอนุสรณ์สถานสร้างตามแบบมอโซเลียมแห่งฮาลิคาร์นาซุส ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ ไม่มีใครเคยเห็นของจริงหรอกครับ สร้างกันไปตามจินตนาการทั้งนั้น
บ้านกัปตันคุ๊ก (Captain Cook’s Cottage)
ในอดีตบ้านหลังนี้ ถูกสร้างเมื่อปี 1755 อยู่ในหมู่บ้านเกรท เอย์ตัน(Great Ayton) ประเทศอังกฤษ เดิมเป็นบ้านของ บิดามารดาของกัปตันคุ๊ก ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ค้นพบ ทวีปออสเตรเลีย เมื่อ ค.ศ. 1770 ต่อมาท่าน เซอร์ รัสเซล กริมเวด ได้ซื้อมาจากอังกฤษ โดยรื้ออิฐออกมาทีละก้อน แล้วถูกลำเลียงมาทางเรือ และมาประกอบใหม่ที่นี่ นำมาตั้งไว้ที่สวนฟิทซ์รอย (Fitzroy Gardens) เมื่อปี 1934 เพื่อเป็นของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยปีของรัฐวิคตอเรีย และเพื่อเป็นการระลึกถึงการเดินทางค้นพบทวีปออสเตรเลียของกัปตันคุ๊ก ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านบางอย่างเป็นของดั้งเดิม บางอย่างก็เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ แล้วให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปชมภายในบ้านได้ ซึ่งมีเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยไม้และโลหะ ที่แสดงถึงห้องครัวในสมัยนั้น เมื่อขึ้นบันได ไป ก็จะเห็นห้องซึ่งใช้เป็นทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น เปลเด็กทำด้วยไม้โอ๊ค ตะเกียง เทียนไข ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของสตรีในยุคอังกฤษโบราณที่ตอนกลางคืน ต้องทอผ้า หรือปั่นด้ายไปด้วย ขณะเดียวกันก็ไกวเปลกล่อมลูกนอนไปด้วย
พิพิธภัณฑ์แห่ง เมืองเมลเบิร์น ( Melbourne Museum )
อาคารของพิพิธภัณฑ์มีสีสันโดดเด่นสะดุดตา มีลักษณะเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ใครที่นั่งรถผ่านก็อดถามไม่ได้ว่าที่นี่คืออะไร ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ อาคารแบ่งเป็น 6 ชั้น อยู่ใต้ดิน 3 ชั้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปแบบทันสมัย เหมาะสำหรับเด็ก ๆ นักเรียน และนักศึกษาที่จะเข้ามาหาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหารเครื่องดื่ม โรงภาพยนตร์ ICE ( Interactive Cinema Experience ) เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่โด่งดังไปทั่วโลก มีจอภาพขนาดใหญ่ ระบบเสียงรอบทิศทาง และทุกที่นั่งมีจอคอมพิวเตอร์ให้ผู้ชมได้แสดงความคิดเห็น ควบคุมการเดินเรื่อง เล่นเกมส์ต่าง ๆ ร่วมกัน นอก จากนี้ ยังมีป่าไม้ซึ่งทำจำลองไว้เหมือนจริง มีสัตว์ต่าง ๆ กว่า 20 ประเภท ต้นไม้พันธุ์ต่าง ๆ กว่า 80,000 ชนิด
Phillip Island Nature Park
อุทยานธรรมชาติเกาะฟิลลิป phillip Island Nature Park เป็นอุทยานสำหรับการอนุรักษ์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ ประมาณ 1.5 ชั่วโมง จาก เมืองเมลเบิร์น ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น หินพีระมิด (Pyramid Rock), หินแมวน้ำ (Seal Rock), พาเรดเพนกวิน (Penguin Parade) ดูขบวนพาเรดของเพนกวินตัวน้อยๆ ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจริงๆ , ศูนย์อนุรักษ์ โคล่า (Koala Conservation Centre), และ The Nobbies Centre ซึ่งเป็นจุดที่สามารถชม แมวน้ำ โลมา และ ปลาฉลามได้
Great Ocean Road
ถนนมีความยาวทั้งสิ้น 243 กิโลเมตรเรียบไปตามชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย ระหว่างเมืองในรัฐวิคตอเรีย (the Victorian cities) ชื่อ เมืองทอร์คีย์ (Torquay ) และเมืองวาร์นัมบูล (Warrnambool) ลักษณะถนนมีความกว้างประมาณ 2 ข่องทาง ไปหนึ่งมาหนึ่ง ไม่กว้างนักพอสวนกันได้ มีการขยายช่องทางให้มีเป็นทางสำรองอีก 1 เป็นช่วงๆ เพื่อให้รถช้าได้เปิดโอกาสให้รถเร็วกว่าได้แซงขึ้นไป ไม่ต้องมารอติดขัดกันเป็นแถวยาย และเวลาใช้จริง
หากถนนดังกล่าวเป็นการ สร้างในเวลาปัจจุบัน ก็คงจะเป็นเรื่องไม่ยากอะไรนัก แต่เมื่อคิดถึงในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใหม่ๆ ต้องใช้แรงงานทหารผ่านศึกจำนวน 3000 คน เป็นแกนหลักในการสร้างถนนแล้ว ก็นับว่าเป็นความพยายามที่ยิ่งใหญ่ เพราะเครื่องจักรในการทำถนนสมัยนั้นยังไม่ดีเท่าในปัจจุบัน
ถนนเกิดจาการสร้างงาน เพื่อให้ทหารที่กลับจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารที่ได้เสียชีวิตจากการเข้าร่วมรบในสงครามโลก ครั้งแรกนี้ ถนนสายนี้มีภาพระหว่างทางที่สวยงามมากมายตลอดการขับผ่านสองข้างทาง ซึ่งจะมีจุดที่ให้นักท่องเทียวได้แวะชมและถ่ายภาพ
12 สาวกของพระเจ้า ( Twelve Apostles)
เป็นแท่งหินปูนที่ถูกธรรมชาติสลักให้มีรูปทรงแปลกๆ แตกต่างกันไปอย่างน่าอัศจรรย์ เรียงรายกระจายอยู่บริเวณชายหาด มีทางเดินให้นักท่องเที่ยวเดินชมและถ่ายรูปกันแบบจุใจ และใกล้ชิด นอกจากการเดินชมแล้ว ยังมีบริการเที่ยวชมแบบ Bird Eyes View โดยการนั่งเฮลิคอปเตอร์ ชมความสวยงามของ Twelve Apostles และ Port Cambell National Park ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 26 กิโลเมตร ราคาประมาณคนละ 2,800 บาท โดยใช้เวลาราว 10 นาทีเท่านั้น
Loch Ard Gorge
ลักษณะเป็นภูเขารูปโค้งขนาดใหญ่ ที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนทะลุเป็นช่องตรงกลาง สวยงามไปอีกแบบ ปี ค.ศ.1878 เรือเดินทะเลสัญชาติอังกฤษนามว่า Loch Ard เดินเรือมาถึงน่านน้ำของเมลเบิร์น อยู่ในทะเลได้สามเดือนจนถึงวันที่ 31 พ.ค. ก็เตรียมตัวกลับ แต่สภาพอากาศในวันนั้นเลวร้ายเอามากๆ ทำให้ไม่สามารถมองไม่เห็นไฟประภาคารซึ่งอยู่บน Cape Otway กัปตัน Gibb ซึ่งบัญชาการเรือในตอนนั้น เห็นว่าเรือจะชนก็สั่งให้หยุดเรือเต็มที่ แต่สายเกินไป สุดท้ายเรือก็เกิดอุบัติเหตุ ชนกับหินโสโครก จนน้ำเข้าเรือ และจมบริเวณนี้เอง ทำให้ได้ชื่อ Loch Ard Gorge มา ถึงปัจจุบัน
London Bridge
หรือสะพานลอนดอน เป็นเกาะหินตั้งอยู่ริมหาด มีลักษณะคล้ายกับสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน สมัยก่อนเคยเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ แต่ในปี ค.ศ.1990 ถูกคลื่นซัดจนขาดออกจากแผ่นดินใหญ่ เหลือเป็นเพียงเกาะหินตั้งอยู่เท่านั้น
เมือง ซิดนีย์ ( Sydney )
เมืองซิดนีย์ แท้จริงแล้วไม่ใช่เมืองหลวงแต่เป็นเมืองศูนย์กลางของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น เมืองท่องเที่ยว แฟชั่น การค้า การเงิน การธนาคาร และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย
Sydney Opera House/Sydney Habour Bridge
ใครที่มาเยือน ซิดนีย์ ต้องไม่พลาดชมและเก็บภาพ Sydney Harbour Bridge ซึ่งตั้งอยู่บนอ่าวใจกลางเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียนั่นเอง สะพาน Sydney Harbor Bridge นั้น จัดเป็นสะพานระนาบเดี่ยวที่กว้างที่สุดในโลก (แต่ไม่ยาวที่สุดในโลก) ซึ่งเปิดใช้ครั้งแรกวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1932 หลังจากที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานถึง 6 ปี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 134 เมตร สร้างจากเหล็กจำนวน 52,000 ตัน ใช้สีทาสะพาน 272,000 ลิตร และมีคนที่มีส่วนในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้ถึง 1,400 คน
ใกล้ๆ กันเป็น Sydney Opera house หรือ โรงอุปรากรซิดนีย์ เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ที่รู้จักกันดีทั่วโลก ออกแบบโดย สถาปนิก ชาวเดนมาร์ก ยอน อุตซอน (J?rn Utzon) ตั้งอยู่บริเวณ ปากอ่าวซิดนีย์ และเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2550 องค์การยูเนสโก ได้รับลงทะเบียน ให้โรงอุปรากรซิดนีย์ เป็นมรดกโลก Sydney Opera House เป็น ศิลปะการออกแบบ ที่ทันสมัย ด้วยชุดคอนกรีตสำเร็จรูปขนาดใหญ่ มันเป็นหนึ่งในอาคารสัญลักษณ์ ที่ยิ่งใหญ่ ของศตวรรษที่ 20 ภาพของความงาม อันยิ่งใหญ่ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ เมือง ประเทศ และ ทั้งหมดของทวีป. ตัวโอเปราเฮาส์เองมีขนาดประมาณ 1.8 เฮกเตอร์ 4.5 เอเคอร์ ภายใน ประกอบ ไปด้วย ห้องต่างๆดังนี้ โรงแสดงคอนเสิร์ต 2,679 ที่นั่ง และมีไปป์ออร์ แกนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงอุปรากร 1,547 ที่นั่ง โรงละคร 544 ที่นั่ง เพลเฮาส์ 398 ที่นั่ง โรงภาพยนตร์ 364 ที่นั่ง และ อื่นๆ ประกอบด้วย สตูดิโอ สำหรับซ้อม 5 ห้อง ภัตตาคาร 4 ร้าน 6 บาร์ ฯลฯ ตัวโรงละคร มีความสูง 183 เมตร จุดที่กว้างที่สุดมีความยาว 120 เมตร และเสาเข็ม ฝังเข้าไปในดินมีความลึกถึง 25 เมตร
ย่านเดอร์ร็อค The Rocks
เป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์เย้ายวนให้นักท่องเที่ยวเข้า ไปสัมผัสกลิ่นอายของวันวานของซิดนีย์ The Rocks เป็นสถานที่ที่กองเรือกองแรกของอังกฤษพาผู้คนชุดแรกจำนวน 1,030 คนเข้ามาถึงซิดนีย์ เมื่อเดือนมกราคม ปี 1788 ในจำนวนนี้มีนักโทษชาย500 คน นักโทษหญิง 200 คน และเด็กอีก 13 คน พวกเขาได้ทำการบุกเบิกหักร้างถางพง สร้างร้านค้า โรงพยาบาล บ้านเรือนและค่ายทหารขึ้นมา จากนั้นได้มีการปรับปรุงสร้างบ้านแปลงเมืองมาเรื่อยๆตราบเท่าทุกวันนี้
หาดบอนได Bondi Beach
เป็นหาดที่นิยมมากที่สุดในซิดนีย์ ซึ่งหาดแห่งนี้เป็นหาดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก โดยสามารถนั่งรถไฟ แล้วต่อรถเมล์ ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีและยังเป็นหาดที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น เพราะที่นี่จะมีคนเล่น Surf Board เป็นจำนวนมาก และยังเป็นที่ที่เหมาะแห่งการอาบแดดและพักผ่อนหย่อนใจ ด้านหน้า Beach ก็มีร้านอาหารมากมายหลากหลายชนิดที่มีเลือกชิม เวลาหิว และที่นี่ยังมีอาหารไทย ถ้าหากคุณคิดถึงรสชาติแบบไทย ๆ ที่นี่ก็มีให้ทาน
Blue Mountains
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อยู่ห่างจากตัวเมืองซิดนีย์ไปทางใต้ราว 2 ชั่วโมงด้วยการขับรถในความเร็วปกติ การเดินทางมาชมเสน่ห์ของขุนเขาแห่งนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่นอาจจะใช้บริการรถไฟที่จะมีขบวนรถออกจาก เซ็นทรัลสเตชั่นทุกๆชั่วโมง และในอีก 2 ชั่วโมงต่อมาเมื่อถึง สถานีคาทุมบา (Katoomba Station) ก็มาต่อด้วย Explorer Bus ซึ่งให้บริการออกจากสถานีรถไฟคาทุมบาทุกๆชั่วโมงเช่นกัน เริ่มจากเวลา 9.30 น.จนถึงเวลา 16.30 น. การซื้อตั๋วแบบรวมทั้งรถไฟและรถบัสก็มีให้เลือกในราคาน่าสนใจทีเดียว Blue Mountains เป็นดินแดนที่สร้างสรรค์จากผลงานตามธรรมชาติ มีเทือกเขามากมายที่ให้เราชม เทือกเขาที่เด่นสุดของที่นี่คือ เทือกเขา ทรี ซีสเตอร์ ร็อกส์ (Three Sister Rocks) หรือเรียกกันว่า เขาสามอนงค์ โดยเทือกเขานี้จะมีภูเขาทั้ง 3 ลูกเรียงกัน ที่นี่เหมาะแห่งการชมพระอาทิตย์ตกดิน เพราะจะสวยเป็นพิเศษเหมาะแก่การถ่ายรูป
เพิร์ธ ( Perth )
เพิร์ธ (Perth)
เป็นเมืองหลวงของรัฐออสเตรเลียตะวันตก และอยู่ใกล้ประเทศไทย ใช้เวลาเดินทางทางเครื่องบินจากเมืองไทยประมาณ 6-7 ชั่วโมง เวลาเพิร์ธมีเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง มีสภาพอากาศโดยทั่วไปอบอุ่นสบายๆ ฤดูร้อนยาวนาน ฤดูหนาวไม่หนาวมาก และมีแสงแดดตลอดปี
ย่านใจกลางเมือง ( Down town หรือ Central Business District )
มีสถานที่ท้องเที่ยวมากมายเช่น พิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียตะวันตก (Western Australia Museum) เป็นแหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์และสภาพแวดล้อมของออสเตรเลียตะวันตกมาจัดแสดง อาทิ เรื่องราวเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐาน ชนเผ่าอะบอริจินส์ หินดาวตกหรือลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่ สัตว์สตาฟฟ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม,พิพิธภัณฑ์สมอลล์เวิลด์ (Small World Museum) พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงคอลเลกชั่นของจำลองจิ๋วๆ ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย,หอศิลปะเวสเทิร์นออสเตรเลีย (Art Gallery of Western Australia) ศูนย์ศิลปะที่รวบรวมงานศิลปะของออสเตรเลีย ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งงานศิลปะร่วมสมัยไว้ ณ ที่แห่งนี้
สวนสาธารณะคิงส์ปาร์ค (Kings Park)
ซึ่งตั้งอยู่บนเนินสูงใจกลางเมือง เราสามารถชมวิวสวยๆในมุมสูงๆของเมืองเพิร์ธได้จากคิงส์ปาร์คแห่งนี้ นอกจากนั้นสวนสาธารณะใจกลางเมืองนี้ยังเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดนับพัน ชนิดเลยทีเดียว
Black Swan หรือ "หงส์ดำ"
สัตว์สัญลักษณ์ของเมืองเพิร์ธพอได้ที่ "ทะเลสาบมองเกอร์" (Lake Monger) แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสัตว์ปีกหลายชนิดรวมถึงหงส์ตัวสีดำปาก สีแดงสัตว์สงวนท้องถิ่นของที่นี่ด้วย ที่นี้จึงเหมาะแก่การส่องดูนกหลากหลายชนิดอีกด้วย
ฟรีแมนเทิล ( Fremantle )
ล่องเรือไปเมือง ฟรีแมนเทิล เมืองท่าสำคัญ ที่ตั้งอยู่บริเวณปาก แม่น้ำ สวอน ( Swan River ) ชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง เพิร์ธ และ ระหว่างทางไปเมือง ฟรีแมนเทิล หรือ เมือง ฟรีโอ นอกจากจะเป็นเมืองท่าที่สำคัญแล้วยังเป็นเมืองที่สวยงามและมี เอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเรื่องมรดกทางสถาปัตยกรรมและความผสมผสานทางวัฒนธรรม นั่งเรือไปต่อที่ เกาะ รอตต์เนสต์ (Rottnest Island ) บนเกาะนี้มีชายหาดที่งดงามเหมาะแก่การพักผ่อน ขี่จักรยาน และกิจกรรมทางทะเลทั้ง ดำน้ำ ตกปลา พายเรือคายัค ก็มีให้เลือกมากมายอีกด้วย
การเดินทางในออสเตรเลีย
ออสเตรเลียมีระบบการขนส่งมวลชนหลายรูปแบบ ได้แก่ รถประจำทาง รถไฟ รถราง เรือด่วนข้ามฟาก สายการบินระดับชาติ และสายการบินระดับภูมิภาค เป็นต้น รถประจำทางจะเป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุดในออสเตรเลีย โดยจะจอดรับ – ส่งผู้โดยสารตามป้ายที่จัดไว้ให้เท่านั้น ส่วนบริการรถแท็กซี่มิเตอร์นั้น จะมีให้บริการทั่วไปในย่านชุมชนตามเมืองต่างๆ โดยสามารถเรียกใช้บริการได้ทั้งทางโทรศัพท์ ที่ป้ายรถแท็กซี่ หรือตามท้องถนนทั่วไปก็ได้