พุทธประวัติ

พุทธประวัติ

80 ปีก่อนเริ่ม ประสูติพระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า “ สิทธัตถะ “ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาแห่งกรุงกบิลพัสดุ์  แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงค์สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติ ในวันศุกร์ ขึ้น ๑๕  ค่ำ เดือน ๖ (เดื่อนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบันคือตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล)

๕๑ ปีก่อนพ.ศ. เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงผนวชแสวงหาโมกขธรรม เดินทางลงใต้สู่ลุ่มน้ำเนรัญชราบำเพ็ญทุกรกิริยาที่ เขาดงคสิริ ๖ ปี

๔๕ ปีก่อนพ.ศ. พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เวลารุ่งอรุณ ในวันเพ็ญเดือน ๖ (เดือนวิสาขะ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี จากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาอย่างยิ่งยวด ขณะพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา นับแต่วันที่เสด็จออกผนวชจนถึงวันตรัสรู้ธรรม รวมเป็นเวลา ๖ ปี พระธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจ ๔  (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) 

ประกาศพระศาสนาครั้งแรก 
พรรษาที่ ๑    พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสาวกและได้อรหันตสาวกจำนวน ๖๐ องค์แล้ว พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณทำการประกาศเผยแผ่คำสอน จนเกิดพุทธบริษัท ๔ อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่างแพร่หลายและมั่นคง การประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ในแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป
พรรษาที่ ๒   พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดประชาชน ได้พุทธสาวกดังนี้ เสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคมในระหว่างทางได้โปรดกลุ่มภัททวัคคีย์ ๓๐ คน ที่ตำบลอุรุเวลาได้โปรดชฎิล ๓ พี่น้องคือ อุรุเวกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ กับศิษย์ อีก ๑,๐๐๐ คน ทรงเทศนาอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ แล้วเสด็จไปยังนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารถวายสวนเวฬุวันเป็นที่อาศัยแด่คณะสงฆ์ และได้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก ๒ เดือนต่อมาเสด็จไปยังนครกบิลพัสดุ์  ทรงพำนักที่นิโครธาราม ทรงได้สาวกอีกมากมาย เช่น พระนันทะ พระราหุล พระอานนท์  พระเทวทัต และพระญาติอื่นๆ ต่อมาอนาถบิณฑิกเศรษฐีอาราธนาไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ได้ถวายสวนเชตวันแด่คณะสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ ๓   นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่ 
พรรษาที่ ๔   ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ 
พรรษาที่ ๕   เสด็จโปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตตผล และทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหิณี ต่อมาทรงอุปสมบทพระนางประชาบดีโคตมี และคณะเป็นภิกษุณี 
พรรษาที่ ๖   ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในกรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษา ณ ภูเขามกุลบรรพต 
พรรษาที่ ๗   ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาได้เสด็จไปทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 
พรรษาที่ ๘   ทรงเทศนาในแคว้นมัคคะ ทรงจำพรรษาในเภสกฬาวัน ภัคคชนบท
พรรษาที่ ๙   ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี 
พรรษาที่๑๐   คณะสงฆ์ในแคว้นโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง พระพุทธองค์ทรงตักเตือนแต่คณะสงฆ์ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ มีช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา 
พรรษาที่ ๑๑  เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ เอกนาลา 
พรรษาที่ ๑๒  ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา และเกิดความอดอยากรุนแรงขึ้นในเวลานั้น 
พรรษาที่ ๑๓  ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต 
พรรษาที่ ๑๔  ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี  พระราหุลขอผนวช 
พรรษาที่๑๕   เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์พระเจ้าสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางโคจร 
พรรษาที่ ๑๖   ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาฬวี 
พรรษาที่ ๑๗   เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมายังอาฬวี และทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ 
พรรษาที่ ๑๘   เสด็จไปยังอาฬวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต 
พรรษาที่ ๑๙   ทรงเทศนาและจำพรรษาที่บนภูเขาจาลิกบรรพต 
พรรษาที่๒๐    โจรองคุลิมาลกลับใจเป็นสาวกและทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาลทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์และทรงเริ่มบัญญัติวินัย 
พรรษาที่ ๒๑-๔๔ ทรงใช้เชตวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่และเป็นที่ประทับจำพรรษาเสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ
พรรษาที่ ๔๕   เป็นพรรษาสุดท้าย พระเทวทัตคิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหินจนต้องพระองค์เป็นเหตุให้พระบาทห้อพระโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวกโกมารภัตทรงปรินิพาน 
    
พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จจำพรรษาสุดท้าย ณ เมืองเวสาลี ในวาระนั้นพระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้วทั้งยังประชวรหนักพระองค์ได้ทรงพระดำเนินจากเวสาลีสู่เมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น พระพุทธองค์ได้หันกลับไปทอดพระเนตรเมืองเวสาลีซึ่งเคยเป็นที่ประทับ นับเป็นการทอดทัศนาเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเสด็จต่อไปยังเมืองปาวาเสวยพระกระยาหารเป็นครั้งสุดท้ายที่บ้านนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง พระพุทธองค์ทรงพระประชวรหนักอย่างยิ่ง  ทรงข่มอาพาธประคองพระองค์เสด็จถึงสาลวโนทยาน (ป่าสาละ) ของเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานพระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชกนับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์และปุถุชนทั้งหลาย

 

ทัวร์แนะนำ ที่คุณอาจจะสนใจ